ads
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Seed Chart TOP 20
1 . บทที่ 1 จุ๋ย - จุ๋ยส์
2 . ขอร้อง - แดน วรเวช
3 . คนไม่เคยถูกรัก - ฟลุ๊ค The Star 5
4 . เพราะBaby - Zitter
5 . Ruj The Star : Ruj - ปล่อยตัวปล่อยใจ
6 . งดเศร้าเข้าพรรษา - Buddha Bless
7 . Boy Peacemaker - เนื้อคู่
8 . กอด - Nos
9 . Ready For Love - Ta Ta Young
10 . ฟุ้งซ่าน - Harem Belle
11 . วีน - ตีน่า
12 . กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม - The Richman Toy
13 . แลกทั้งใจแค่ได้รักเธอ - ดิว The Star 5
14 . เลิกกับฉันไ ด้มั้ย - ขนมจีน
15 . Sexy Bad Girl - feat. Ti-พายุ
16 . เพื่อนกันวันสุดท้าย - พั้นช์
17 . เพิ่งจะรู้ - Lazy Sunday
18 . เพลงนี้ - สิงโต The STAR 5
19 . I know u want me - Pitbull
20 . วันฝนพรำ - Basket Band
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เรน Rain
Rain's World ประวัติ เรน (Rain)
มาทำความรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขากันสักนิด กว่าจะเป็นนักร้องดังในวันนี้ !!
ชองจีฮุน มีชื่อที่ใช้ในการแสดงว่า พี(Bi) ซึ่งในภาษาเกาหลีแปลว่า "ฝน" ทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันในนามนักร้อง นักเต้นว่า เรน(Rain)
เรนมีความสามารถโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นบทบาทนักร้อง ซึ่งได้รับรางวัลทุกอัลบั้มแล้ว บทบาทแสดงนำจากซีรีส์เรื่องดัง Full House ที่ออกอากาศในบ้านเราเมื่อปีที่แล้ว จนดังเป็นพลุแตกไปทั่วเอเชีย
เรนเกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1982 สูง 184 cm. น้ำหนัก 74 kg. เลือดกรุ๊ป O ครอบครัวมีพ่อและน้องสาว 1 คน

เพียงลีลาการเต้นที่เร้าใจกับรูปร่าง สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบพร้อมโชว์ให้คนดูหลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับการแสดงได้ สิ่งเหล่านี้คงไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญที่ผลักดันให้หนุ่มเรนโด่งดังสุดๆได้มายืนแถวหน้าของเอเชียเท่านั้น ความคิดและวิธีการฝึกปฏิบัติบนเส้นทางชีวิตกว่าจะเป็นซุปเปอร์สตาร์ของเขาล้วนยากลำบาก แต่ความมานะอดทนและพยายามทำให้เขาได้มีวันนี้ เป็นรางวัลตอบแทนการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต ทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยวัยเพียง 24 ปี
ความโด่งดังของเขาไม่ได้หยุดอยู่ในประเทศเกาหลีใต้บ้านเกิดเท่านั้น เรนยังเป็นนักร้องเอเชียที่ไปเปิดคอนเสิร์ตไกลถึงฝั่งอเมริกา นับเป็นก้าวย่างที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
เรนได้เขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขา ในปี 2002 หลังจากที่ออกอัลบั้มชุดแรก เป็นเรื่องราวใน วัยเด็ก, วัยเรียน, ความหลงไหลในการเต้น, การเข้าสู่วงการครั้งแรกกับ JYP และความรักที่มีต่อแม่ของเขา

(1) วัยเด็ก
ผมยังไม่อยากจะเชื่อว่า ตอนนี้ผมได้เป็นนักร้องแล้ว บางครั้งเมื่อผมนั่งอยู่ท่ามกลางกองแผ่น CD ผลงานของตัวเอง ขณะที่เรากำลังจัดเตรียมการกับมันอยู่ ผมรู้สึกหัวใจพองโต มันช่างเป็นความสุขจริงๆ ที่คนฟังและรู้สึกชื่นชอบกับการที่ผมเต้นในสไตล์ของตัวเอง หลังจากเต้นและร้องเพลงของ Seotaeji and Boys and Deux ความฝันของผมกลายเป็นจริง

เมื่อตอนเด็กผมอาศัยอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยฮงอิก แม่ของผมเพิ่งจากไปเมื่อสองปีที่แล้ว และในตอนนั้นผมอยู่กับพ่อและน้องสาวซึ่งอ่อนกว่าผม 3 ปี (ผมเกิดในปี 1982 ชื่อจริงของผม คือ ชองจีฮุน) ความที่เป็นคนไม่ช่างพูด วันหนึ่งพูดกันแค่สองสามประโยคเท่านั้น
ผมเคยออกไปข้างนอกโดยไม่บอกใครๆ ตอนนั้นผมยังเด็ก เป็นเหตุการณ์ที่ผมจำได้ลางๆ ผมออกจากบ้านไปเมื่อตอนประมาณ 4 ขวบ ญาติของผมมักจะมาทำงานที่บ้าน แต่ในวันนั้นพวกเขาไม่พบผม พวกเขาโทรหาตำรวจที่สี่แยก แต่ไม่มีใครรู้เรื่องของผม ทุกคนวิตกมาก แต่หายังไงก็ไม่พบ
วันหนึ่งญาติโทรมาบอกว่าพบผมที่ สถานีรถประจำทางรถกังวาโด แถวบ้านที่เราอยู่ ผมคิดว่าผมคงจะขึ้นรถจากที่นี่ไป ที่กังวาโด พวกเขาเห็นหมายเลขติดต่อบนสายรัดข้อมือผมและโทรเรียกครอบครัวของผมให้มารับ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน จำได้ลางๆ ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่วยผมขึ้นรถ
(2) เริ่มค้นพบตัวเอง
ผมเป็นคนเคร่งขรึมตั้งแต่ตอนเด็กๆ อย่างไรตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น มันเป็นการยากมากที่ผมจะเป็นฝ่ายจะเริ่มต้นคบกับใคร แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมพูดและทำได้ดีมากจนตัวเองรู้สึกประหลาดใจ
เมื่อตอนอยู่ชั้นประถมผมเรียนไม่ค่อยเก่ง ความที่ไม่ค่อยพูดจากับใคร ผมก็เลยไม่มีแฟน ไม่มีใครมาสนใจหรือสังเกต เพื่อนๆในชั้นเรียนถ้าจะมีใครสังเกตเกี่ยวกับตัวผมก็คงจะเป็นความสูง เพราะผมมักจะยืนเป็นที่ 3 หรือที่ 4 ของคนที่สูงที่สุดในชั้น

ผมมักจะนั่งเงียบเสมอเมื่ออยู่ในชั้นเรียน แต่มีอยู่วันหนึ่งผมลุกขึ้นมาแสดงความสามารถเป็นตัวแทนของชั้นเพื่อเข้าแข่งขันของแต่ละโรงเรียนเมื่อตอนเรียนอยู่เกรด 6 และในชั้นของเราไม่มีคนสมัครเข้าแข่งขันเลย
ผมรู้สึกกระวนกระวายใจเลยบอกพวกเขาว่าผมจะเป็นตัวแทนในการเข้าแข่งขัน แต่คำตอบของเพื่อนๆ ในชั้นที่เห็นด้วยก็มีไม่มากนัก ผมได้ยินพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวผม จากนั้นผมก็ถามว่า "ทำไมพวกเขาถึงไม่แสดงแทนผมล่ะ"
ในที่สุดผมก็ได้กลับมาเป็นตัวแทนของชั้นเรียนด้วยความภาคภูมิใจ พวกเพื่อนๆ พากันมองมาที่ผม เมื่อดนตรีเริ่มขึ้น ผมบอกกับตัวเองว่าจะโชว์การเต้นเหมือนอย่างที่เห็นในทีวีหรือตามท้องถนน หัวสมองในขณะนั้นไม่คิดอะไรทั้งสิ้น นอกจากสองสิ่งนี้เท่านั้น
เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อการแสดงจบลง ผมรู้สึกถึงความสำเร็จเป็นครั้งแรกในชีวิต แล้วความคิดที่เกิดขึ้นในใจตอนนั้น มันบอกผมว่า "ใช่เลย มันคือการเต้นนั่นเอง!"
(3) ความเศร้าทำร้ายตัวเองให้ตกต่ำ
ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนซุงมุน ในขณะที่ใจผมร่ำร้องอยากจะเต้น คนอื่นๆเล่าว่า

ผมเป็นนักเรียนที่เกเร ไม่สนใจอะไร นอกจากการเต้น ผมชอบโดดเรียนไปกับรุ่นพี่ และไม่ใส่ใจการเรียนแม้ว่าเขาจะเอาเงินและเสื้อผ้าของผมไป เหตุผลเดียวที่ผมยอมพวกเขาเพียงเพื่อต้องการที่จะเรียนรู้ในการเต้นเท่านั้น
ครั้งหนึ่งเราถูกตำรวจจับไปที่โรงพัก ขณะนั้นเรากำลังฝึกซ้อมเต้นที่สวนสาธารณะใกล้กับมหาวิทยาลัยฮงอิก เพราะว่าเราไม่มีสถานที่จะฝึกซ้อม คนที่ผ่านมาแถวนั้น ต่างก็เห็นและพูดถึงนักเรียนเกเรที่โดดเรียน ตอนนั้นผมโกหกพ่อว่าผมไปห้องสมุด แต่จริงๆ แล้วผมไม่สนใจการเรียนเลย เพราะผมเต้นจนไม่มีเวลาจะเรียน ทำให้การเรียนแย่ลงไปเรื่อยๆ
ผลการสอบในเทอมแรกผมสอบได้ที่ 45
(4) "จะไม่ทำเลว" คำสัญญาที่ให้กับพ่อ
ถึงผมจะยังคบหากับพวกเด็กเกเรเพื่อที่จะเรียนรู้ในการเต้น แต่ผมก็ให้สัญญากับพ่อว่าผมจะไม่สูบบุหรี่หรือยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
ทีมเต้นของเราฝึกหนักและเข้าแข่งขันโดยไม่หวังรางวัล ทั้งที่ ลอตเต้ เวิลด์, จัมซิล และโซล ยืนยันความสามารถของเราได้เป็นอย่างดี ผมจำไม่ได้ว่าปีไหน เพียงอินบงเป็นตัวตลกในการแข่งขัน MC ชื่อทีมของเราคือ Challenger ผมเข้าแข่งขันกัน 4 คน ผมยืนอยู่ตรงกลาง เพราะตัวสูง
เราไม่ได้รับรางวัล รู้จากเพียงอินบงในภายหลังที่ผมเป็นนักร้องที่กังทาแล้ว ว่ามีนักร้องเข้าแข่งขันด้วย ผมเริ่มสนใจกีฬารักบี้ เมื่อตอนผมเรียนอยู่เกรด 12 ส่วนใหญ่พวกที่อยู่ชมรมรักบี้จะดูดีมากๆ ผมฝึกรักบี้กับโรงเรียนใกล้ๆ แต่ผมก็รู้สึกว่าไม่สามารถทำทั้งสองอย่างให้ดีได้ ผมจึงเลือกที่จะเต้น

ในที่สุดปีสุดท้ายของชีวิตมัธยมต้นก็มาถึง ผมเริ่มวิตกกังวลกับอนาคตของตัวเอง เพื่อนๆพากันไปห้องสมุด มีแต่ผมคนเดียวที่ทั้งเรียนทั้งเต้นในเวลาเดียวกัน ผมตัดสินใจมาเรียนการแสดง ผมไม่สนใจสาขาอื่น ผมต้องการเป็นนักแสดง ผมดูละครและจำมาฝึกซ้อมด้วยตัวเอง
(5) สอบเข้าโรงเรียนศิลปอันยางได้ด้วยความภาคภูมิใจ
เริ่มจากที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการแสดง ผมไปที่ร้านหนังสือ ซื้อทุกอย่างที่เกี่ยวกับการแสดง และอ่านมันทั้งหมดก่อนจะสอบเข้าที่โรงเรียนศิลปะอันยาง ผมต้องการแสดงความสามารถพิเศษในการเต้น ผมตัดสินใจเลือกเล่นละครใบ้ เพื่อให้ส่วนต่างๆของร่างกายบอกเล่าเรื่องราวซึ่งคนอื่นๆไม่ค่อยเห็นด้วย เขาพูดกันว่าการแสดงไม่ใช่ตัวตนของผม แต่ผมก็ฝึกซ้อมอย่างหนักและสอบผ่านเข้ามาได้ด้วยความภาคภูมิใจ

ทุกๆเช้าตอนผมไปโรงเรียน พอเปิดล็อคเกอร์จะมีของขวัญจากใครๆที่ผมก็ไม่รู้ ของขวัญส่วนมากจะเป็น นม ขนมเค้ก ดอกไม้และจดหมาย ผมรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้สานต่อความรู้สึกดีๆเหล่านั้น เพราะผมไม่มีเวลาเลย ผมเอาแต่ซ้อมเต้น ผมไม่เคยมีเวลาจะคิดเรื่องแฟน โดยเฉพาะช่วงปีแรกในฐานะน้องใหม่ ซึ่งผมพยายามเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองเรียนให้จบในด้านการแสดง
แต่ในระหว่างนั้นก่อนจบผมเริ่มเกลียดการแสดงในชั้นเรียนมาก ผมไม่สนใจเรียนและรู้สึกว่ามันไม่น่าสนใจอีกต่อไปแล้ว ช่วงนั้นผมไปโรงเรียนสายบ่อยมาก ผมจะไปเพียงร่วมประชุมในช่วงเช้าเท่านั้น และพลาดการฝึกซ้อมในชั้นเรียน
ช่วงนั้นผมมัวแต่หมกมุ่นในการฝึกเต้น และถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กเลว
(6) โดนครูตี
ตอนนี้ผมอยากจะเล่าถึงครูของผม เมื่อตอนที่ผมเรียนที่โรงเรียนศิลปอันยาง ผมทะเลาะกับครูเพราะเรื่องเต้น ผมหมกมุ่นกับการเต้นมากจนไม่เข้าร่วมประชุมทีมการแสดง นักเรียนรุ่นพี่เริ่มเกลียดผม พวกเขามาพบผมหลังโรงเรียนและรุมด่าว่าผม ผมไม่อยากถูกไล่ออกจากกลุ่ม ก็เลยตัดสินใจหันมามุ่งด้านการแสดงมากกว่าเต้น แต่มันก็ไม่ทำให้ผมเลิกล้มความอยากเต้นได้เลย
วันหนึ่งอยู่ๆ ผมก็ลุกขึ้น แล้ววิ่งออกไปนอกห้องเรียน ในวันถัดมาครูที่สอนผมเข้ามาตำหนิอย่างรุนแรง แล้วบอกให้ผมตีเขาไม่เช่นนั้นเขาจะตีคนอื่นๆด้วย ในหัวผมตอนนั้นความคิดขัดแย้งสับสนวุ่นวายมาก มีแต่พวกผู้หญิงในชั้นเท่านั้นที่ยังรู้สึกดีกับผม ในตอนนั้นผมคิดจะตอบโต้ครูจริงๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น
ก่อนเราจะจบการศึกษา เมื่อครูได้เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดว่าผมจะเกลียดเขาจริงๆ เขาชอบใช้วิธีแบบเดียวกันนี้กับคนอื่นๆที่โรงเรียน มันเป็นวิธีหลอกล่อเพื่อให้นักเรียน รู้สึกผิดส่วนมากมักจะพูดว่าเสียใจและก็ร้องไห้ แต่ก็จะมุ่งมั่นเอาชนะจนเรียนจบได้ในที่สุด
(7) โชคชะตาทำให้ได้พบกับ ปาร์คจินยอง
ในปี 2000 มีเหตุการณ์สำคัญๆ 2 เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต ผมได้พบกับปาร์คจินยองและเขาผลักดันให้ผมได้กลายมาเป็นนักร้อง กับเรื่องที่แม่ของผมได้เสียชีวิตจากผมไป

เรื่องแรกที่ผมจะเล่า คือว่า ผมพบกับปาร์คจินยองได้ยังไง ตอนนั้นผมมั่วสุมเต้นอยู่กับเพื่อนๆมัธยมปลาย ผมอาศัยอยู่กับพวกเขา ทำกับข้าว ล้างจาน ทำความสะอาด และเต้นไปด้วยที่คลับย่าน อีแตวอน ใกล้ๆมหาวิทยาลัยฮงอิก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมอยู่ในช่วงนั้น
ครอบครัวของผมลำบาก พ่อทำธุรกิจค้าขายแต่ก็ขาดทุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันหนึ่งเขาเขียนจดหมายทิ้งไว้บอกว่าจะเดินทางไปประเทศบราซิล และเมื่อตั้งตัวได้แล้วจะกลับมา ตอนนั้นแม่ของผมต้องทุกข์ทรมานจากโรคเบาหวานและยังต้องหาเลี้ยงครอบครัวไปด้วย ผมไม่เข้าใจแม่ว่าทำไมต้องทำงานทั้งที่สุขภาพไม่ดี ผมรู้สึกโง่เง่ามากเพราะไม่เคยนึกถึงใครนอกจากตัวเอง
ในเวลานั้นผมหมกมุ่นอยู่กับการเต้นมากพอๆกับเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับครอบครัวของตัวเอง วันหนึ่งผมตามเพื่อนไปทำงานกับพวกเด็กจรจัดที่ออฟฟิศซอมซ่อแห่งหนึ่ง อยู่ๆ ปาร์คจินยองก็เดินเข้ามา ห้องนั้นเป็นออฟฟิศของ ปาร์คจินยอง
เขาเห็นผม แล้วก็ถามว่า "ทำอะไรได้บ้าง?"
ผมตอบ "เต้น" แล้วเขาก็บอกให้ส่งวิดีโอที่ผมเต้นมาให้ดู
"ว้าว ปาร์คจินยอง โปรดิวเซอร์ จะฝึกให้ผมเป็นนักร้อง!!"
ผมมีความสุขมากในตอนนั้น หลังจากส่งเทปให้เขาไม่นานนักผมก็กลับมา
(8) ปาร์คจินยอง จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แม่
หลังจากที่ดูเทปแล้ว ปาร์คจินยอง ก็บอกผมว่า "มาทำอัลบั้มกันเถอะ"
เขาพอใจจะรับผมและฝึกสอนผมเอง ผมมีความสุขจริงๆ ผมฝึกเต้นและร้องเพลงอย่างหนัก
ขณะที่ผมกำลังมีความสุขที่จะได้เป็นนักร้องอย่างที่วาดฝันเอาไว้ แม่ของผมสุขภาพทรุดหนักโดยไม่รู้ตัว ตอนที่ผมยังเด็กแม่ก็ป่วยอยู่เสมอ แต่ผมก็ไม่ได้ตระหนักถึงสภาพครอบครัวในเวลานั้น พ่อของผมเดินทางไปโน่นไปนี่ ไม่มีใครดูแลแม่รวมทั้งตัวผมด้วย
ผมเริ่มคิดว่าเหลือผมคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวในตอนนั้น ผมจึงเล่าให้ปาร์คจินยองฟังทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับแม่ที่ต้องดูแล แล้วเขาก็พูดว่า
"เพื่อความ สบายใจของเธอ ฉันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เอง ไม่ต้องกังวล"

ผมรู้สึกซาบซึ้งมาก แม่ของผมเข้ารับการรักษา ตอนนั้นแม่ผมเป็นแผลพุพองขั้นรุนแรงทั่วทั้งตัวอยู่ก่อนแล้ว แต่คนที่โรงพยาบาลบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว ให้แม่กลับมาพักที่บ้าน ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกแน่นที่หน้าอก เมื่อผมนึกถึงวันนั้น แม่ของผมอาการทรุดหนักมากเรานำกลับมาที่โรงพยาบาลอีก ปาร์คจินยองและภรรยาของเขามาเฝ้าดูอาการแม่ของผมด้วย
(9) เต้นอย่างไรให้เป็นสไตล์ของตัวเอง
ถึงจะมีคนคอยช่วยเหลือ แม่ของผมก็ยังคงไม่ดีขึ้นและในที่สุดก็จากผมไป
แม่บอกกับผมก่อนเสียชีวิตว่า "ดูแลน้องสาวให้ดี" ผมสัญญากับแม่ด้วยหัวใจ
ผมเฝ้าบอกตัวเองมาตลอดว่า "ผมจะทำให้ดีที่สุด"
ผมยังคงเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงแม่ ผมอยากให้แม่ได้เห็นว่าผมประสบความสำเร็จในชีวิต ผมจะทำให้ดีที่สุด ถ้าแม่อยู่รออีกสักนิด......สภาพจิตใจผมแย่มาก ผมจะไม่ใส่ใจครอบครัวได้ยังไงถ้าผมมีชีวิตที่ดี

ผมฝึกซ้อมอย่างหนักหลังจากที่แม่จากไป บริษัทของเราทำวิดีโอเทป 12 นักเต้นเพลงโซล มีทักษะการเคลื่อนไหว 9 ขั้นตอน ผมฝึกจนเหนื่อย ปาร์คจินยองก็ยุ่งมาก เขาไปที่สตูดิโอเพื่อดูและสอนผม แต่เขาก็ไม่เคยพูดชมผมเลยสักครั้ง
จนถึงวันนี้ เขามักจะพูดว่า "อยากให้งานดี หรือ อยากมีชื่อเสียง"
ตั้งแต่วันนั้นที่ผ่านมา เขามักจะกดดันผม เขาชอบพูดว่า "จะเต้นยังไงให้เป็นสไตล์ของตัวเอง"
บางทีก็ว่า "มันไม่เวิร์ก"
นั่นเป็นวิธีที่เขาสอนผม เมื่อเขาต้องหยุดสอนผม เพราะต้องเดินทางไปบันทึกเสียงที่อเมริกา ผมต้องต่อสู้กับความเหงา ผมอยู่ที่สตูดิโอจนกระทั่งทุกคนกลับบ้าน แล้วผมก็คิดท่าเต้นและฝึกซ้อมในตอนนั้น ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเศร้าใจจริงๆ ผมใช้วิธีร้องเพลงและเต้นบนรถไฟใต้ดินและบนรถเมล์
(10) ต่อสู้กับความโดดเดี่ยว
ผมรู้สึกท้อแท้และอ่อนล้าที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นผมจึงฝึกซ้อมอย่างบ้าคลั่งด้วยการร้องตะโกนเสียงดังและเต้นไปทั่วตามถนนตลอดเส้นทางไปสตูดิโอและทางกลับบ้าน คิดท่าเต้นต่างๆให้เข้ากับเพลงที่ร้อง ไม่ว่าจะอยู่บนรถไฟใต้ดิน รถเมล์ หรือที่โล่งแจ้งอื่นๆ คล้ายกับคนบ้า
ผมรู้สึกว่ามันไม่ง่ายกว่าจะได้เป็นนักร้อง
หลังจากที่ปาร์คจินยองไปเป็นโปรดิวเซอร์ที่อเมริกา ผมก็ทนทุกข์กับความเหงาและต้องอยู่ตัวคนเดียวฝึกอย่างโดดเดี่ยวจนปาร์คจินยองกลับจากอเมริกาหลังจากงานโปรดิวเซอร์ของเขาเสร็จ สมบูรณ์ ผมคิดว่าตัวเองจะได้ทำอัลบั้มออกมาเสียที แต่ปาร์คจินยองบอกกับผมว่า อัลบั้มของเขาจะต้องออกก่อนเพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาเหมาะสม ดังนั้นอัลบั้มชุดแรกของผมต้องเลื่อนไปเดือนสิงหาคม ผมต้องคิดท่าเต้นประกอบด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่การเต้นทั้งหมดในการร้องของผม แต่มันก็มาก

ผมทำงานเป็นแดนเซอร์ของปาร์คจินยอง ถึงจะเป็นประสบการณ์ที่ดีบนเวที แต่การต้องไปทุกๆ ที่กับปาร์คจินยองทุกวันเพื่อฝึกฝนมันยากมากๆ ขณะที่ปาร์คจินยองและผู้จัดการที่ดูแลได้หยุดพักผ่อน ผมยังคงต้องฝึกโดยไม่ได้หยุดพัก ผมต้องร้องเพลงโดยอัตโนมัติ เมื่อไรก็ตามที่ปาร์คจินยองโบกมือของเขาและจะร้องซ้ำเพลงเดิมๆ หลาย ๆ ครั้ง เป็นพันๆครั้งในวันหนึ่ง ผมถูกตีหัวเพราะร้องผิดโน้ตซ้ำๆ ตีที่หัวฟังดูเหมือนไม่รุนแรงอะไร แต่การตีที่จุดเดิมๆบ่อยๆ มันทำให้เจ็บไม่น้อยทีเดียว
(11) อัลบั้มของผมต้องล่าช้าออกไปอีก
ตอนที่ผมเต้นให้ปาร์คจินยอง ผมคิดและร้องอยู่คนเดียวเป็นพันๆ ครั้งเรื่องอัลบั้มเพลงของตัวเอง ขณะนั่งอยู่ในรถคนอื่นๆ จะหลับและพักผ่อน แต่ผมก็ยังคงร้องเพลงไม่หยุด เมื่อปาร์คจินยองโบกมือให้ ผมฝึกฝนเฝ้ารอให้ถึงเดือนสิงหาคม เพื่ออัลบั้มของผมจะได้ออกเสียที
พอเดือนสิงหาคมมาถึง แผนงานก็ถูกเปลี่ยนแปลงอีก มันเป็นการออกอัลบั้มของปาร์คจินยองต่างหาก เนื่องจากเขาเป็นผู้จัดการบริษัท อัลบั้มของผมถูกเลื่อนไปเดือนพฤศจิกายนแทน ผมเริ่มกระวนกระวายใจ กับเหตุการณ์ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
หลังจากออกอัลบั้มเสร็จ ปาร์คจินยองก็ไปอเมริกาอีกครั้ง ผมยังคงฝึกร้องเพลง ไม่มีอะไรนอกจากต้องรอไปก่อน ผมรู้สึกเลื่อนลอยเคว้งคว้าง กลัวว่าไม่ได้ออกอัลบั้มของตัวเองหลังจากที่เตรียมตัวมาอย่างหนักถึง 2 ปี ซึ่งผมมีประสบการณ์ในการเต้นร้องเพลงมากขึ้นทีเดียว

พอปาร์คจินยองกลับมาเกาหลี ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของปีนั้น เขาบอกว่า ถึงเวลาออกอัลบั้มของผมได้แล้ว เราบันทึกเสียงประมาณหนึ่งเดือนกว่า การบันทึกเสียงใช้เวลาไม่นาน เพราะเพลงทั้งหมดทำเสร็จนานแล้ว
ท้ายที่สุดผมได้ขึ้นเวทีครั้งแรกวันที่ 28 เมษายน ผมอยากแสดงออกทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมฝึกมานานทั้งร้องเพลงและเต้นแต่มันก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรและไม่ค่อยถูกแบบแผนนัก แต่ผมก็ไม่ขืนตัวเอง ยังคงปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระ
ผมเฝ้าบอกตัวเองว่ามันคงจะต้องจบ ถ้าผมไม่ทำในช่วงเวลานี้ให้ดีที่สุด
รู้ไหมครับพวกคนดูจ้องจนตาค้างไปเลย และผมก็ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง
(12) ผมอยากเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ที่เก่ง
ความคิดต่างๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนที่จะเป็นนักร้อง
"ทำไมคุณไม่ร้องเพลงตลอดไปล่ะ?"
หลังจากฝึกร้องเพลงอย่างหนัก ผมมั่นใจว่าสามารถเป็นนักร้องอาชีพได้ แต่ผมก็ยังไม่มีประสบการณ์มากพอสำหรับการเป็นนักร้องหน้าใหม่ ผมเคยลิปซิงค์บนเวทีบ้างแต่ก็ไม่บ่อย
ผมมาเลิกวิตกกังวลเมื่อตอนได้ไปร้องเพลงที่ MBC TV ช่วงปลายเดือนมิถุนายน ผู้คนต่างชื่นชมผมว่านอกจากจะเต้นได้ดีแล้วยังร้องเพลงได้ดีอีกด้วย พวกเขาประหลาดใจที่คนอื่นๆต่างพากันปรบมือหลังจากผมร้องเพลงจบ เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้
มันเป็นความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของผมในการเป็นนักร้องอาชีพ สามเดือนตั้งแต่ออกอัลบั้มผมได้รับความสำเร็จท่ามกลางแฟนๆ ที่ให้กำลังใจ ผมยังคงทำงานหนักอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เร็วๆ นี้ ผมมีจะการแสดงใหม่ๆ กับบทบาทที่ท้าทาย ผมจะได้เล่นละครตลกซิทคอมและผมคิดว่าการแสดงมันน่าสนใจมาก ผมต้องการแสดงความสามารถในทุกๆ ด้าน

เมื่อร้องเพลง เต้น และแสดงได้ดีแล้ว หลังจากนั้นผมอยากจะเป็นดีไซเนอร์ออกแบบแฟชั่น ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมในตอนนี้ คือการประสบความสำเร็จในการเป็นนักร้องภายใน 10 ปี และหลังจากนั้นผมจะเริ่มศึกษาด้านการออกแบบ
20 ปีต่อจากนี้ไป ผมอยากได้รับการยอมรับในฐานะดีไซเนอร์ด้วย ผมขอขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องราวนี้ครับ
เรนกล่าวไว้ว่า "ถ้าไม่พยายาม ไม่อดทน และไม่ถ่อมตัว ชีวิตก็จะไม่ประสบความสำเร็จ"
ไม่ว่าหนทางนั้นจะสินสุดลงอย่างไร ถึงวันนี้ "เรน" ชองจีฮุน สายฝนเลือดเกาหลีคนนี้ ยังคงซัดสาดในวงการธุรกิจบันเทิงให้ขับเคลื่อนต่อไป.^^

เพลง I Do (Rain)
http://www.pingbook.com/mv/listen.php?id=34&song_id=693&listen=normalasx
ขอขอบคุณ: http://club.truelife.com/ ที่มาของข้อมูล โดยโดย 0000(atthita)
7 หนุ่ม 2PM
กว่าจะเป็น 7 หนุ่ม 2PM
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เรียกได้ว่ากระแสความดังของศิลปินชายกลุ่มใหม่ ที่มาพร้อมกับท่าเต้นผาดโผนนามว่า “2PM” ไม่หยุดอยู่ที่เกาหลีเท่านั้น เพราะพวกเขาข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาขโมยหัวใจสาวๆ ถึงประเทศไทยเลยทีเดียว หลังจากออกซิงเกิ้ลอัลบั้ม Hottest Time of the Day และทันทีที่โมเดิร์นไนน์ทีวี หยิบเอารายการ “Hot Blood Guys ปฏิบัติการหนุ่มล่าฝัน” มาออกอากาศต้อนรับปีใหม่ ก็เรียกกระแสความนิยมเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะเป็นรายการคล้ายๆ กับเรียลลิตี้โชว์ บอกเล่าเรื่องราวของ “2PM” ว่ากว่าจะมาเป็นศิลปินคุณภาพ และได้ออกอัลบั้มนั้นมีที่มาอย่างไร
งาน นี้ทำเอาสาวๆ ติดตามเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ไม่ไปไหน พร้อมๆ กับอยากรู้จัก 7 หนุ่ม 2PM ให้มากขึ้น วันนี้กระปุกดอทคอมไม่รอช้า รีบทำตามคำเรียกร้อง พาเพื่อนๆ ไปเจาะลึกประวัติ “2PM” กันค่ะ…
“2PM” เป็นวงน้องใหม่แกะกล่อง ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในแดนกิมจิ แต่กว่าที่พวกเขาจะก้าวเข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิงได้นั้น ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก โดยพวกเขาได้รับคัดเลือกเข้ามาเป็น 1 ใน 13 คน ที่ผ่านการออดิชั่นมาจากทั่วประเทศ จากนั้นก็ต้องเข้าคอร์สฝึกอบรมทั้งการร้อง เล่น เต้น
ซึ่ง หลังจากผ่านการฝึกฝนอันเข้มข้นก็ใช่ว่าทั้ง 13 คน จะได้ผ่านเข้ามาในวงการบันเทิง เพราะต้องถูกคัดออกไปอีก 2 คน ให้เหลือเพียง 11 คน ซึ่ง 4 คน ที่เชี่ยวชาญในด้านเพลงจะถูกส่งไปเดบิวในชื่อ “2AM” ส่วนอีก 7 คนเชี่ยวชาญในด้านการเต้น ก็จะได้เดบิวในชื่อวง “2PM” ซึ่งสมาชิก 7 คนของ “2PM” ประกอบด้วย…
ชื่อ – สกุล : Park Jaebeom
วันเกิด : 25 เมษายน 1987 (พ.ศ. 2530)
ตำแหน่ง : Rapper, นักร้อง
ภาษา : อังกฤษ / จีน
การศึกษา : Dankook University
น้ำหนัก : 55 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 175 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Kim Junsu
วันเกิด : 15 มกราคม 1988 (พ.ศ. 2531)
ตำแหน่ง : นักร้อง
ภาษา : จีน / อังกฤษ
การศึกษา : Donga School for the Arts
น้ำหนัก : 73 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 178 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Ok Tae Cyeon
วันเกิด : 27 ธันวาคม 1988 (พ.ศ. 2531)
ตำแหน่ง : Rapper, นักร้อง, นายแบบ
ภาษา : จีน / อังกฤษ
การศึกษา : Dankook University
น้ำหนัก : 76 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 185 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Nichkhun Horvejkul (คุณ - นิชคุณ หรเวชกุล หนุ่มน้อยหน้าใสจากประเทศไทย)
เกิด : 24 มิถุนายน 1988 (พ.ศ. 2531)
ตำแหน่ง : นักร้อง, นายแบบ, นักแสดง
ภาษา : เกาหลี / จีน / อังกฤษ / ไทย
การศึกษา : Los Osos High School (USA)
น้ำหนัก : 61 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 181 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Jang Wooyoung
วันเกิด : 30 เมษายน 1989 (พ.ศ. 2532)
ตำแหน่ง : นักร้อง
ภาษา : จีน
การศึกษา : Seoul School for the Arts (Dance Major)
น้ำหนัก : 65 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 178 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Lee Junho
วันเกิด : 25 มกราคม 1990 (พ.ศ. 2533)
ตำแหน่ง : นักร้อง
ภาษา : จีน
การศึกษา : Ho Won University (Program acting Major)
น้ำหนัก : 64 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 178 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Hwang Chansung
วันเกิด : 11 กุมภาพันธ์ 1990 (พ.ศ. 2532)
ตำแหน่ง : นักร้อง, นายแบบ, นักแสดง
ภาษา : จีน
น้ำหนัก : 72 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 182 เซนติเมตร
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พวกเขาจะสามารถผ่านการออดิชั่นมาได้แล้ว แต่พวกเขาก็ต้องฝึกฝนทักษะด้านการเต้นที่หนักขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแบบบีบอย หรือแบบอาโครบาติก (ผาดโผน) เพราะ JYP Entertainment ต้นสังกัด ต้องการคนที่เชี่ยวชาญในด้านการเต้นอย่างแท้จริง โดยทำการเปิดตัวในรายการ Hot Blood Man ทางช่อง Mnet จนได้รับเสียงกรี๊ดและกระแสตอบรับอย่างท่วมท้น อาจเป็นเพราะหน้าตาใสๆ หล่อๆ และประโยคเด็ดๆ ที่ว่า … ถ้าผมไม่สามารถทำวงบอยแบนด์วงใหม่ ให้แตกต่างจากบอยแบนด์ทั่วไปในยุคนี้ได้ ผมคงจะไม่เปิดตัวออกมาอย่างแน่นอน! … บวกกับความสามารถด้านการเต้นที่ขนมาเอาใจแฟนเพลง ทำให้พวกเขากลายเป็นขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ได้ไม่ยาก
สำหรับรายการ “Hot Blood Guys ปฏิบัติการหนุ่มล่าฝัน” มีความยาวทั้งหมด 8 ตอน ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 10.00 - 11.00 น. ทางช่อง 9 เริ่มเทปแรกวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป โดย คุณ - นิชคุณ สมาชิก 2PM พูดถึง “Hot Blood Guys ปฏิบัติการหนุ่มล่าฝัน” ว่า ตอนแรกทีมงานก็ประชุมกันว่าจะทำรายการที่ไม่เหมือนใครครับ โดยจะมีภารกิจที่จัดขึ้นมาโดยไม่บอกให้พวกเรารู้ก่อน ตอนแรกก็บอกว่าพรุ่งนี้ต้องรีบตื่น เพราะจะพาไปตกปลาที่เกาะ แต่ที่ไหนได้ พอเช้ามืดมีเสียงนกหวีดดัง แล้วมีทหารเอาเสื้อผ้ามาให้ใส่ แล้วออกไปฝึก ไปวิดพื้นอะไรแบบนี้ครับ เหนื่อยมากๆ
“คือ จริงๆ แล้วจุดประสงค์ของรายการนี้คือ อยากจะให้พวกเรารักกันครับ เพราะมีคนเคยบอกว่าถ้าคนเหนื่อยสุดๆ แล้วจะแสดงธาตุแท้ออกมาใช่ไหมครับ นั่นแหละครับเลยเป็นที่มาของภารกิจโหดนั้น แต่ทางพี่ๆ ทีมงานก็บอกว่าเวลาเหนื่อยอย่าคิดถึงตัวเองครับ ให้คิดถึงเพื่อนๆ ในกลุ่ม เพื่อจะได้รักกันมากๆ สามัคคีกันเพื่อวันข้างหน้าครับ ส่วนประสบการณ์ที่จำไม่ลืมคือ ตอนที่ต้องคัดสมาชิกออก พวกเราเศร้ากันมากเลยครับ ตอนนั้นพอต้องรู้ว่ามี 3 คนที่ต้องออก แล้วทีมงานบอกพวกเขาต้องกลับบ้านไปเลย ไม่ได้เจอกันอีก ไม่ได้เป็นศิลปิน เศร้ากันมากครับ” นิชคุณ กล่าว
ขณะเดียวกัน แฟนๆ ของ 2PM ก็เตรียมตัวเตรียมใจและเตียมเสียงกรี๊ดให้ดี เพราะ 2PM จะควง 5 สาวน้อยมหัศจรรย์ “Wonder Girls” มาเปิดการแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทย ใช้ชื่อว่า “Wonder Girls live in Bangkok & 2PM Guest” ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ บัตรคอนเสิร์ตราคา 700, 1500, 2000 บาท เปิดขายบัตรอย่างเป็นทางการที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ตั้งแต่ วันที่ 9 มกราคม 2552 เป็นต้นไป
วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Dream theater
Prog Rock ที่ยิ่งใหญ่ของโลก
เมื่อ กันยายน ปี 1986 เป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นในการก่อตั้งวง มือกีตาร์ John Petrucci และเพื่อนมือเบสของเขา John Myung โดยทั้ง 2 เรียนอยู่ด้วยกันที่ โรงเรียนดนตรี Berklee ใน Boston ทั้ง 2 คนก็กำลังหาสมาชิกอื่นๆ เพื่อก่อตั้งวงเพื่อเล่นในยามว่าง ต่อมาพวกเขาทั้ง 2 ก็ได้มาเจอกับมือกลอง Mike Portnoy ในห้องฝึกซ้อมห้องหนึ่งใน Berklee โดยบังเอิญ ต่อมาหลังจากได้พูดคุยตกลงกันพวกเขาทั้ง 3 ก็ตัดสินใจที่จะตั้งวงเพื่อเล่นดนตรีกัน โดยพวกเขาได้ติดต่อเพื่อนสมัยโรงเรียนมัธยม Kevin Moore เพื่อเล่นคีย์บอร์ด และนักร้องชื่อ Chris Collins เพื่อให้วงสมบูรณ์ โดยในขณะนั้นรู้จักกันดีในนาม Majesty
วงในขณะนั้นได้เล่นแจมกันในเวลาว่างและได้อัดเสียงเป็น demo มีทั้งหมด 8 เพลง เพื่อ ขายไปยังคนฟังแถบนั้น ซึ่ง Demo มีชื่อว่า 'Majesty Demos' โดนสามารถขายได้ 1000 แผ่นภายใน 6 เดือนแรก เป็นที่น่าทึ่งมากที่เดโมยังคงจำหน่ายได้ และยังคงสามารถมีให้เห็นในปัจจุบัน
ต่อมาเดือนพฤศจิกายน Chris Collins ก็ได้ออกจากวง ทำให้มีความจำเป็นในการหานักร้องคนใหม่ โดยที่วงยังคงแต่งเพลงและอัดเดโมต่อไป โดยเพลงบรรเลงของวงบางเพลงก็เริ่มคิดได้ ณ ช่วงเวลานั้นอีกด้วย
ในที่สุดเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 1987 วงก็ได้มีนักร้องคนใหม่คือ Charlie Dominici ด้วยความกระตือรือล้นในการจำหน่ายเดโมอย่างเป็นมืออาชีพมากขึ้นทำให้เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Mechanic Records และก็เริ่มทำอัลบั้ม “ When Dream and Day Unite”
เป็นที่น่าโชคร้าย ก่อนที่พวกเขาจะทำงานเพลงต่อไป ชื่อวงของพวกเขาได้ไปซ้ำกับวงจาก Las Vegas วงหนึ่งชื่อ Majesty เหมือนกัน ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนชื่อวงใหม่ ชื่อใหม่ของวงได้ถูกตั้งขึ้นใหม่โดย Howard Portnoy ซึ่งเป็นพ่อของ Mike Portnoy โดยเขาแนะนำว่าให้ใช้ชื่อว่า Dream Theater ซึ่งเป็นชื่อโรงภาพยนต์หนึ่งในรัฐ California ที่ถูกรื้อไปแล้ว
ต่อมาอัลบั้ม “ When Dream and Day Unite” ได้บันทึกเสียงเสร็จและจำหน่ายไปยังคนฟัง progressive rock โดยได้รับความสนใจบ้างจากหมู่คนฟัง progressive rock แต่เป็นที่น่าโชคร้ายที่วงถูกยับยั้งไม่ไห้เล่นในคลับและบาร์ เนื่องจากค่าย Mechanic ขาดแคลนเงินทุนในการเตรียมการออกทัวร์ของวง
เมื่อออกจากค่าย Mechanic ทำให้ Charlie Dominici ต้องออกจากวง จึงทำให้ต้องหานักร้องคนใหม่มาแทน ซึ่งต่อมา Chris Cintron, John Arch, Steve Stone และ John Hendricks และคนอื่นๆอีกมาก ได้รับการ audition แต่ก็ได้ถูกปฏิเสธไปทุกราย จนในที่สุดปลายปี 1991 ได้มีเทปม้วนหนึ่งจาก Canada ซึ่งเป็นนักร้องจากวง Winter Rose ชื่อว่า Kevin LaBrie ทำให้วงต้องเรียกเขามาที่ New York เพื่อการ audition โดยเขาได้ร้องเพลง To Live Forever, Learning to Live และ Take the Time และวงจึงตัดสินใจรับเขาเข้ามาเป็นนักร้องของ วงท่ามกลางผู้ที่มาสมัครกว่า 200 คน
เพราะสมาชิกในวงที่มีชื่อ John 2 คนและ 1 Kevin ที่มีอยู่แล้ว ทำให้ LaBrie ต้องใช้ชื่อกลางของเขาคือ James มาเป็นชื่อแรกของเขาเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในวง
ต่อมา Dream Theater ได้เซ็นสัญญากับค่าย ATCO Atlantic (ซึ่งตอนนี้เป็น EastWest) เพื่อบันทึกเสียงอัลบั้ม “Images and Words” ซึ่งเป็นงานเพลงแนว prog ชิ้นโบแดงแห่งปี 1990 โดยมี mv ออกมา 3 เพลงคือ Pull Me Under, Time, และ Another Day
โดยสถานีวิทยุได้เปิดเพลง Pull Me Under บ่อย จนทำให้อัลบั้ม Images and Words สามารถจำหน่ายได้มาก และนี้เองที่ทำให้แฟนเพลงแนว prog ทั่วทั้งอเมริกา ได้กลายเป้นแฟนเพลงตัวจริงของวงในที่สุด จึงต้องทำให้ค่าย ATCO ได้ตัดสินใจออกอัลบั้มและวิดีโอบันทึกการแสดงสด.
“Live at the Marquee” ได้ถูกบันทึกเสียงใน Marquee Club ที่ London และ Live in Tokyo ก็ถูกบันทึกใน Tokyo และระหว่างการทัวร์ปี 1993 อีกทั้งทางวงก็มี bootleg การแสดงของวงรอบโลกอีกด้วย
ต่อมาหลังจากการออกทัวร์ วงก็เริ่มที่จะทำอัลบั้มที่ 3 ต่อไปในเดือนพฤษภาคมปี 1994 ชื่ออัลบั้มว่า “Awake” และบันทึกเสียงเสร็จเมื่อเดือนกรกฎาคม แต่ก่อนได้ mix เสียงเสร็จ Kevin Moore ก็ขอลาออกจากวงเพื่อไปทำอัลบั้มตัวเองต่อไป
เพื่อให้การทัวร์ The Waking Up The World tour ได้ดำเนินต่อไป วงก็ได้จ้างให้ Derek Sherinian มาเล่นคีย์บอร์ดชั่วคราวไปก่อนที่จะหา มือคีย์บอร์ดมาแทน Kevin ทางวงสนใจในตัว Jordan Rudess แต่เขาก็ได้รับงาน ของวง Dixie Dregs ไปก่อนแล้ว จึงได้มีมือคีย์บอร์ดคนอื่นมา audition เช่น Jens Johansson (วง Stratovarius) แต่ก็ได้ถูกปฏิเสธไป และในที่สุดวงจึงตัดสินใจให้ Derek Sherinian เป็นมือคีย์บอร์ดของวงเต็มตัว
ในเดือนเมษายน ปี 1995 วงก็ได้ไป BearTracks Studios เพื่อบันทึกเสียงเพลงมหากาพย์ยาว กว่า 23 นาที A Change of Seasons ที่ได้แต่งโดยดั้งเดิมเมื่อปี 1989 เพลงนี้ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างของเพลงอีกด้วย โดยที่ Derek Sherinian ได้มีส่วนในการแต่งช่วงคีย์บอร์ดในเพลง ในที่สุดเมื่อ 19 กันยายน 1995 อัลบั้ม “A Change of Seasons” ก็ได้ออกวางจำหน่าย โดยได้รับความสนใจจากแฟนๆได้อย่างดี
ต่อมาพวกเขาก็ได้เริ่มบันทึกเสียงอัลบั้ม “Falling Into Infinity” ซึ่งอัลบั้มนี้แต่เดิมมี 2 cd แต่น่าเสียดายที่ค่าย Elektra ไม่อนุญาตให้ออก cd คู่ จึงทำออกมาเพียงแค่ 1
หลังจากการออกทัวร์ของ Into Infinity world tour วง Dream Theater จึงหยุดพัก เพื่อสมาชิกในวงได้มีโอกาสได้ทำงาน side project ของตนเอง เช่น
John Petrucci และ Mike ตั้งวง Liquid Tension Experiment โดยมี Jordan Rudess และ Tony Levin มาร่วมเล่นด้วย นอกจากนั้น John Patitucci ยังมีโปรเจคเป็นมือกีตาร์ใน Explorer's Club ของ Trent Gardner ส่วน Derek ก็มีโซโล่อัลบั้มของตัวเอง, James เป็นนักร้องและศิลปินรับเชิญในอัลบั้มที่ 3 ของวง Shadow Gallery
John Myung และ Derek Sherinian ยังได้เล่นร่วมกับวง King's X ซึ่งมี Ty Tabor เป็นนักร้อง และ John Myung ยังมี side-project กับวง Platypus อัลบั้ม “When Pus Comes To Shove“ เมื่อปี 1998 อีกด้วย
และในระหว่างการทำ Side-project ของแต่ละคนนั้น ทางวงได้หาช่องทางในการออก live 2CD และ video ที่มีชื่อว่า “Once in a LIVE time” ซึ่งได้รับการบันทึกเสียงกว่า 2 คืนในยุโรป ซึ่งวีดีโอประกอบไปด้วย live shows, การทำงานใน studio และคำวิจารณ์ต่างๆของ Mike Portnoy
ต่อมาปี 1999 ก็มีข่าวออกมาว่า Derek ได้ออกจากวง และได้ Jordan Rudess เข้ามาแทน ส่วน Derek ก็ได้ไปทำงาน solo albums และวง Planet X ต่อไป ในช่วงเวลานั้น Kevin Moore อดีตมือคีบอร์ดคนแรกก็ได้ออกอัลบั้มที่ชื่อว่า Chroma Key project ด้วย และ James LaBrie นับเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของวงที่ไม่มี side-project จนกระทั้งถึงต้นปี 1999 เมื่อเขาได้ทำงานใน MullMuzzler project ของ Matt Guillory และ Mike Mangini ซึ่งก็ได้รับความสนับสนุนอย่างดีจากคนฟังเพลงแนว prog(progressive)
ต่อมาค่าย Elektra ได้ให้อิสระแก่วง Dream Theater เต็มที่ในการสร้างสรรค์งานอย่างอิสระในการทำอัลบั้มต่อไป ผลก็คือเป็นหนึ่งในอัลบั้มตำนานของแนว prog rock ตลอดกาลคืออัลบั้มมหากาพย์ “Scenes From A Memory” ความยาว 77 นาที ที่ออกมาเมื่อปลายปี 1999 ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็น concept album ที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่วง Queensryche ทำอัลบั้ม Operation: Mindcrime และต่อมาก็ได้ออก DVD บันทึกการแสดงสดเป็นครั้งแรกด้วย
ซึ่ง Metropolis 2000- live from New York เป็นบันทึกการแสดงสดที่แฟนเพลงต่างรอคอย และเพื่อเป็นเป็นของขวัญสำหรับผู้ที่ไม่มี DVD Mike ตัดสินใจที่จะออก CD live album 3 แผ่นจาก Metropolis 2000 concert และครั้งนี้ก็เป้นการออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสดที่ไม่ราบรื่นเพราะอัลบั้มนี้ออกเมื่อ 11 ธันวาคม 2001 ที่ตรงกับช่วงวันแห่งโศกนาฏกรรมตึก World Trade Center ถล่ม ซึ่งนับว่าเป้นความบังเอิญอย่างมากในการออกแบบภาพปกของซีดี เนื่องจากหน้าปก มีรูปแอปเปิ้ลเผาไฟ ที่ดัดแปลงมาจากรูปหัวใจเผาไฟจากอัลบั้ม images and words กับโครงสร้างอาคารในกรุง New York ท่ามกลางเปลวไฟ
ต่อมาทางวงก็พยายามที่จะบันทึกเสียงอัลบั้ม ที่ 6 ของพวกเขาต่อไป ซึ่งมีทีมงานที่เคยทำในชุด Image and Word ด้วย โดยที่ Mike Portnoy และ John Petrucci เป็น producer โดยวงพยายามสร้างสรรค์งานมหากาฟย์อีกครั้ง
อัลบั้ม “Six Degrees of Inner Turbulence” เป็น concept album คู่ (2-CD studio album) ที่ออกเมื่อเดือน มกราคมปี 2002 และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากแฟนเพลง ซึ่ง Disc #1 ประกอบไปด้วยความยาวกว่า 50 นาที และ Disc #2 ประกอบไปด้วยความยาวกว่า 42 นาที ซึ่งอัลบั้มนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสมควรน่ายกย่องเพียงใด
และในปัจจุบันนี้ Dream Theater ก็ได้ออกอัลบั้มที่มีชื่อว่า “Train of thought” และออก DVD คู่ บันทึกการแสดงสด Live at budokan และ3 CD บันทึกการแสดงสดอีกด้วย
นักดนตรีแต่ละคนยังมีโปรเจคและโซโล่อัลบั้ม ที่อัพเดต ต่างๆมากมาย สามารถติดตามได้ที่ เว็บของวงได้ที่ www.dreamtheater.net
Harem Belle
ประวัติ Harem Belle
Harem แปลว่า สถานที่ที่มีผู้หญิงมากมายที่พร้อมจะพลีกายให้คุณ (แต่สำหรับพวกเราหมายถึงดนตรีที่สวยงาม)
Belle แปลว่า สาวงาม
แล้วมาเป็น ::: Harem Belle ::: ได้ยังไง
แอ๊ป, ตี๋ และ ไม ได้ฟอร์มวงขึ้นมาเมื่อ ปี 2544 เพื่อเล่น กันสนุก ๆ ชื่อ “Gender” ต่อมาได้ยุบวงไป หลังจากนั้น ไม่นาน ก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ...ในตอนนั้น ตี๋ และ ไม ได้พา แบงค์ มือเบส เข้ามาประจำตำแหน่งเพิ่มอีก 1 คน เพื่อมาแบ่งเบาภาระ จาก แอ๊ป จะได้สามารถ ร้องได้เต็มที่ขึ้น และเปลี่ยนชื่อวงเป็น “ Dissolution Parasite” หลังจากนั้นก็มีค่ายเพลง ( ไม่ขอเอ่ยนามบริษัท ) มาให้ความสนใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่เท่าไหร่ ทางวงเริ่มรู้สึกถึงแนวเพลงของตัวเองที่กำลังจะเปลี่ยนไปตามกระแสของค่ายเพลงนั้น จึงรีบถอนตัวออกมา
เหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น เมื่อ แบงค์ มือเบส ได้ขอลาออกโดยในขณะนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุ แต่ ไม มือกลอง ได้คาดการณ์ว่า น่าจะเกิดจาก “รับความกวนTEEN” จากเพื่อนร่วมวง ไม่ไหว หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน ทางวงจึงตกลง กันว่าควรจะ เอา ตี้ ซึ่งเป็นลูกพี่ ลูกน้อง กับตี๋ มาประจำเป็นมือเบส แทน ขณะที่ทาง ตี้ เองก็เพิ่งเดินออกจากวง ตัวเองอย่างเป็นทางการ จากนั้นทางวงได้เปลี่ยนชื่อเป็น Harem Belle มาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเกือบ 2 ปีก่อน (พ.ศ.2545) ยังเป็นวงที่เล่นเพลง cover ตามงานใต้ดินต่างๆ ทั่วไปธรรมดาๆ ในช่วงแรกไม่รู้จักใครเลยในวงการนี้ แต่ด้วยความอยากเล่นจึงไปขอมั่วๆกับเค้าจนได้เล่นในที่สุด เพลงที่เล่น cover ส่วนมากจะเป็นเพลงของวง Finch , The Used , Glassjaw , Hoobastank
จนเป็นที่รู้จัก และเริ่มมีชื่อเสียงในกลุ่มดนตรีใต้ดิน
แต่เมื่อช่วงหลังไม่ค่อยมีงานใต้ดินให้เล่น แอ๊ป นักร้องของวง จึงเริ่มเขียนเพลงของตัวเองขึ้นมา ตอนแรกจะออกไปทาง Alternative ซะส่วนใหญ่ ในส่วนของ กีตาร์ – เบส – กลอง ทางวงจะทำกันเองไม่เคยมีใครมาช่วยแนะนำ อาศัยความชอบส่วนตัวและความถนัดในแนวเพลงที่แต่ละคนชอบแตกต่างกันไปจากนั้นนำไปเสนอตามค่ายเทปใหญ่ๆ มากมาย แต่ได้รับการปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "หนักเกินไปขายไม่ได้"
ตำแหน่ง – ร้องนำ
เกิด – 27/4/2527
ศึกษาอยู่ที่ - มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต คณะบริหารธุรกิจ เอกคอมพิวเตอร์ ปี 3
งานอดิเรก – ฟังเพลง , เขียนเพลง , แกล้งหมา , อำ ชาวบ้าน , โทรศัพท์โรคจิตในยามค่ำคืน
ศิลปินที่ชอบ – Michelle Branch , The Strokes , Lifehouse , project 86, blindside , ok go , bob marley
แนวดนตรีที่ชอบ – Raggae ,Rock , Metal , Emo
ตำแหน่ง – กีต้าร์
เกิด – 6/2/2527
ศึกษาอยู่ที่ - มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต คณะบริหารธุรกิจ เอกคอมพิวเตอร์ ปี 3
งานอดิเรก – เล่นเกมส์, ดูหนัง , ฟังเพลง ,ด่าคนตามเว็บบอร์ด ต่าง ๆ , download ภาพโป๊
ศิลปินที่ชอบ – CCR , The Used , The Cranberries , The Calling
แนวดนตรีที่ชอบ – Blue , Rock , Metal , Emo
ตำแหน่ง – เบส
เกิด – 14/6/2531
ศึกษาอยู่ที่ – กรุงเทพฯการบัญชีวิทยาลัย ( BBC ) ปวช.2 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
งานอดิเรก – เล่นเกมส์ ,ดูหนัง , ฟังเพลง ,นอน(เฉย ๆ ได้เป็นเวลานาน ๆ )
ศิลปินที่ชอบ – The Used , Hoobastank ,Thursday , Mudvayne
แนวดนตรีที่ชอบ - Emo , Punk , Indy
ตำแหน่ง – กลอง
เกิด – 25/4/2527
ศึกษาอยู่ที่ – มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาดรุณฯ คณะบริหารธุรกิจ เอกการตลาด ปี 3
งานอดิเรก – เล่นเกมส์ ,อ่านหนังสือ,เล่นคอมฯ,กวนตีนเพื่อนร่วมวง
ศิลปินที่ชอบ – Incubus , Blink 182 , Finch
แนวดนตรีที่ชอบ – Punk , Emo , Alternative
* ทองไม ได้ลาออกจากวงแล้ว หลังจากเสร็จอัลบั้มชุดนี้
ตำแหน่ง - กลอง (คนปัจจุบัน)
ศิลปินที่ชอบ - Blink 182 , Night Wish , Incubus
แนวดนตรีที่ชอบ - Gothic , Emo , Jazz , Sould
งานอดิเรก - ฟังเพลงเล่นดนตรี, เลี้ยงหมาพันธ์ไทยหลังอาน...พาคนส่งโรง'บาลเนื่องจากโดนหมากัด
* อ๊อฟ เป็นมือกลองคนใหม่ที่มาแทนที่ ทองไม
SEK LOSO (เสกสรรค์ สุขพิมาย)
SEK LOSO

หลังจากวง "LOSO"ประสบความสำเร็จอย่างมากในทุกอัลบั้ม นักร้องนำของวงอย่าง "เสก" ได้แยกตัวไปศึกษาต่อด้านดนตรียังต่างประเทศ และกลับมาออกอัลบั้มเดี่ยวให้แฟนๆได้ฟังกันอีกครั้ง ซึ่งยังคงความเป็นร็อคในสไตล์ "LOSO" เช่นเดิม แต่เพิ่มความหนักแน่นทางด้านดนตรีจากฝั่งตะวันตกมากยิ่งขึ้นตามประสบการณ์ของ "เสก"...และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน "เสก" และ วง"LOSO" ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆเสมอ
เสก โลโซ (เสกสรรค์ สุขพิมาย)
วันเกิด : 7 สิงหาคม 2517
ราศี : กรกฏ
แนวเพลง : Rock
สังกัด : More Music
"เสก" เสกสรร ศุขพิมาย หรือที่รู้จักกันในชื่อของ "เสก โลโซ" นับเป็นซุปเปอร์สตาร์ขาร็อคอีกคนหนึ่งของเมืองไทย เคยมีผลงานครั้งแรกในปี 2539 กับวง "โลโซ" โดยมีผลงานออกมาหลายอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น "Lo Society" "LOSO : Entertainment" "Rock&Roll" "LOSOLAND" ที่ทุกอัลบั้มจะต้องมีเพลงฮิตให้ติดหูขาร็อคทั้งหลาย เริ่มตั้งแต่ "ไม่ต้องห่วงฉัน" ในอัลบั้มแรก "Lo Society" , "คืนจันทร์" และ "ใจสั่งมา" ในอัลบั้ม "Rock&Roll" เพลง "หมาเห่าเครื่องบิน, มอ'ไซต์รับจ้าง" ในอัลบั้ม LOSOLAND ฯลฯ
ต้นปี 2546 ปรากฏการณ์ช็อควงการเพลง เมื่อเสก-โลโซ ประกาศหยุดพักวงโลโซชั่วคราว เพื่อไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษ หลังจากออกเทปและทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ มาตลอด 7 ปีเต็ม จนกระทั่งวันที่ 4 เมษายน ปีเดียวกัน อัลบั้มเดี่ยว(ส่วนตัว)ของเสก ก่อนที่จะอำลาวงการเพลง ที่ใช้ชื่ออัลบั้มว่า "7 สิงหา" ที่มาจากวันเกิดของเขานั่นเอง ที่เสกทั้งเขียนเพลง-เล่นดนตรี-โปรดิวซ์เองทั้งหมด (เหมือนเดิม) ดนตรียังคงเป็นสไตล์โลโซ แต่เน้นซาวนด์ดนตรีที่หนักขึ้น ทั้งซาวนด์กีตาร์และกลอง มีเพลง "พรุ่งนี้" ที่เสกแต่งให้กับแฟนเพลง ก่อนอำลาจากกันไปไกล และในปี 2547 เสกได้ร่วมงานกับซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของเมืองไทยอย่าง "เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์" ในอัลบั้ม "เบิร์ด-เสก" และตามมาด้วยอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 2 "THE COLLECTION" ในปี 2548
และล่าสุดในปี 2549 กับอัลบั้ม Black and White ที่เสกบอกว่า เป็นอัลบั้มที่ซีรียสที่สุด เพราะตั้งแต่อัลบั้มปกแดงเมื่อหลายปีก่อน ก็ยังไม่ได้ทำอัลบั้มเป็นอัลบั้มเต็มๆจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น 7 สิงหา , เบิร์ด-เสก , THE COLLECTION ก็ยังไม่ได้มีอัลบั้มที่จริงจังมากเหมือนชุดนี้ และด้วยความสำเร็จจากอัลบั้มชุดที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้เสกต้องทำให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น แนวดนตรียังคงเป็นร็อกที่ยังคงความเข้มข้นหนักหน่วง พ่วงกับเสียงร้องบาดใจคนทั้งประเทศ ในแบบฉบับของ “เสก”
และนี่คือ "เสก โลโซ" ซุปเปอร์สตาร์ขาร็อค ตัวจริง พบกับความจัดจ้านของสองขั้วดนตรีจากอัลบั้มใหม่ “BLACK AND WHITE” ที่กลั่นกรองทุกเม็ดดนตรีจากฝีมือของ “เสก-โลโซ” ได้แล้ววันนี้ ทั่วประเทศ
ไมเคิล แจ๊คสัน (Michael Jackson)
ประวัติของ ไมเคิล แจ๊คสัน (Michael Jackson) ตั้งแต่สนมัยเด็กที่ยังอยู่วง Jackson 5 จนกระทั้งโตขึ้นมาเป็นราชาเพลงป๊อประดับโลก จวบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งอาการหัวใจหยุดเต้น Heart Attack เป็นต้นเหตุของการปิดฉากชีวิตราชาเพลงป๊อป ไมเคิล แจ๊คสัน ทำเอาแฟนเพลงทั่วโลกถึงกับช็อกกับการจากไปอย่างกะทันหัน
ไมเคิล แจ๊คสัน นั้นจัดเป็นนักร้องเพลงป๊อปที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลัง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น จัสติน ทิมเบอร์เลค, บริทนีย์ สเปียร์ รวมไปถึงซูเปอร์สตาร์เอเชีย อย่าง เรน ซึ่งการจากไปของเขานั้นถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของวงการเพลงระดับโลก
กำเนิด ไมเคิล แจ๊คสัน Michael Jackson, A Star Was Born
ไมเคิล แจ๊คสัน หรือ Michael Jackson เป็นชาวอเมริกัน มีชื่อจริงว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ๊คสัน เกิดเมื่อวันที่ 29 ส.ค. พ.ศ. 2501 ได้เข้าสู่เส้นทางนักร้องตั้งแต่อายุเพียง 7 ขวบ ด้วยการเป็นนักร้องนำในวง “เดอะ แจ๊คสัน ไฟว์” มีผลงานอัลบั้มแรกคือ “ก๊อท ทู บี แดร์” (Got to Be There) เมื่อปี พ.ศ. 2514 ขณะที่เขามีอายุ 11 ขวบ และเพลงของเขาก็สามารถไต่ไปอยู่อันดับ 1 บนบิลบอร์ดได้สำเร็จถึง 3 เพลงด้วยกัน
Michael Jackson, King of Pop
จากนั้นชื่อเสียงของ ไมเคิล แจ๊คสัน ก็ทวีความแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี พ.ศ. 2522 อัลบั้ม “ออฟ เดอะ วอลล์” (Off the Wall) ได้ทำสถิติใหม่ด้วยยอดขายกว่า 20 ล้านก๊อบปี้ทั่วโลก ก่อนจะมีผลงานอีกหลายอัลบั้มตามมา แต่ที่เด่น ๆ จนมีเพลงฮิตติดชาร์ตและสร้างสถิติที่น่าทึ่งให้กับวงการเพลงก็เห็นจะเป็นอัลบั้ม “ทริลเลอร์” (Thriller) ในปี พ.ศ. 2525 ซึ่งสร้างสถิติอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลมากถึง 60 ล้านชุด และอัลบั้ม “แบด” (Bad) ในปี พ.ศ. 2530 กับสถิติอัลบั้มที่มีซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1 ในบิลบอร์ดมากที่สุด
พอให้หลังไป 4 ปี ในปี พ.ศ. 2534 ชื่อเสียงของ ไมเคิล ก็กลับมาผงาดครองความแรง บนแผงเทปอีกครั้งด้วยอัลบั้ม “แดนเจอรัส” (Dangerous) ในปี พ.ศ. 2534 โดยเพลง “แบล็ก ออร์ ไวท์” (Black or White) นั้นติดอันดับ 1 ทั้งในบิลบอร์ดและชาร์ตเพลงทั่วโลก ก่อนที่จะส่งอัลบั้ม“ฮิสทรี่” (History) กับเพลง “ยัวร์’ น็อท อโลน” (You’re Not Alone) เป็นซิงเกิ้ลแรกในประวัติศาสตร์ที่ติดอันดับ 1 ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย และเขาเองก็ได้ทิ้งห่างการออกอัลบั้มมานานถึง 10 ปีเต็ม ก่อนจะส่งผลงาน “อินวิซิเบิ้ล” (Invicible) สู่ตลาดอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2544 โดยที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ว่านี่คืออัลบั้มชุดสุดท้ายในชีวิตของเขา
คอนเสิร์ต ไมเคิล แจ๊คสัน และ Michael Jackson’s Dangerous Tour ที่ไทย
การแสดงสดของ ไมเคิล แจ๊คสัน นั้นสร้างความประทับใจให้กับคนดูได้เสมอ เปิดคอนเสิร์ตครั้งใดแฟนเพลงต่างก็ให้ความสนใจ ไปต่อแถวซื้อตั๋วและรอดูอย่างแน่นขนัดแทบทุกครั้ง ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2536 ในเมืองไทยเองก็มีการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ของ ไมเคิล แจ๊คสัน ในอัลบั้ม “แดนเจอรัส” มาแล้วถึง 2 รอบ ที่สนามศุภชลาศัย โดยบัตรราคา 500, 800, 1,000, 1,500 และ 2,500 บาท ซึ่งถือว่าแพงมากในยุคนั้น ความแรงของ ไมเคิล แจ๊คสัน ทำให้เกิดกระแส “ไมเคิล แจ๊คสัน ฟีเวอร์” มาแล้ว ของที่ระลึก อัลบั้มเพลง และทุกอย่างที่เกี่ยวกับไมเคิล แจ๊คสัน นั้นขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ขณะนั้นก็มีคนในสังคมบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการแสดงของไมเคิล และกระแสที่ฟีเวอร์จนเกินเหตุ โดยเฉพาะกับท่าเต้นลูบเป้าที่ไม่เหมาะกับวัฒนธรรมไทย นั้นเป็นประเด็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ อยู่นานพักใหญ่
คอนเสิร์ตครั้งนั้นถูกจัดการแสดงขึ้นในวันที่ 21 ส.ค. 36 เป็นรอบแรก แต่พอมาถึงรอบที่ 2 ในวันที่ 22 ส.ค. แฟนเพลงต่างก็ต้องผิดหวัง เมื่อคอนเสิร์ตนั้นถูกเลื่อน โดยผู้จัดการแสดงอ้างว่าไมเคิลป่วย จนต้องเลื่อนการแสดงออกไปวันที่ 23 ส.ค. แต่สุดท้ายก็เลื่อนอีก จนแฟนเพลงไม่พอใจและเกิดการจลาจลหน้าสนามกีฬา สุดท้ายไมเคิลต้องเอาเทปเสียงมาเปิดยืนยันให้แฟนเพลงฟังว่า “ป่วยของจริง” และการแสดงก็ไปลงตัวจบเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 36 ก่อนจะอำลาเมืองไทยไป การแสดงของไมเคิล แจ๊คสัน กลับมาที่เมืองไทยอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2538 ในอัลบั้ม “ฮิสทรี่” โดยจัดการแสดงที่ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี แต่ครั้งนี้ไม่ได้รับความสนใจมากเท่าครั้งแรก
ไมเคิล ห่างจากการทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เขาเริ่มคิดถึงเวทีและแสงไฟ เลยประกาศจัดคอนเสิร์ต “ดิส อิส อิท ณ โอทู อารีนา” กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยเริ่มแรกเดิมทีจะจัดเพียง 10 รอบเท่านั้น แต่ด้วยความคลั่งไคล้ของแฟนเพลงที่ให้ความสนใจคอนเสิร์ตนี้เป็นอย่างมาก จึงได้เพิ่มรอบเป็น 50 รอบ จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ถึง 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 แต่เขาเองก็ได้มาจบชีวิตลงก่อนที่การแสดงจะเริ่มขึ้นเพียงไม่กี่วัน เป็นการปิดตำนานราชาเพลงป๊อป เจ้าของท่าเต้นมูนวอล์ก ไปด้วยวัยเพียง 50 ปี โดยไมเคิลได้เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาล UCLA Medical Care Center หลังจากที่เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เพราะเกิดเป็นลมน็อกอยู่ภายในบ้านพัก เมื่อช่วงเที่ยงของวันพฤหัสบดีที่ 25 มิ.ย. ซึ่งตรงกับเวลาประมาณเช้ามืด วันศุกร์ที่ 26 มิ.ย. ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งก่อนจากไปเขาก็ยังอยู่ในระหว่างการซ้อมเพื่อคอนเสิร์ตใหญ่ที่จะมีขึ้นที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในเดือน ก.ค. ที่จะถึงนี้
X - J a p a n
หะแรกฟังไม่รู้เรื่องเลยครับ เลยไม่สนใจอะไรมากมาย จนมาวันนึง สดุดกับเมโลดี้ที่สุดแสนจะเรียบง่ายแต่ไพเราะมากเพลงนึง สืบถามมาได้ความว่าเป็นเพลงของ วง X-Japan O_O จากนั้นผมก้อเริ่มลงหารายละเอียดต่างๆ พวกประวัติของคนในวง
พอได้ทราบถึงประวัติของแต่ละคน ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ แต่ผมหลงรักจริงๆมันอยู่ที่เนื้อเพลง ความหมายที่เขาสื่ออกมา และ เสียงร้อง ที่สุดยอด มันไม่ยากส์เลยครับที่ทำให้ผมหลงรักได้
แล้วก็ฝากเว็บดีๆ รวมแฟนคลับของ X ด้วยนะครับ
www.x-japanclub.com
ป.ล. ลองอ่านประวัติของHideดูนะครับ
สมาชิกแต่ละคน
YOSHIKI


Yoshiki เป็นเพื่อนกับ TOSHI มาตั้งแต่เด็ก เรียนรร.เดียวกัน ตั้งแต่อนุบาล ม.ต้น จนถึง ม. ปลาย สมัยแรกๆ YOSHIKI ไม่ยอมเปิดเผยประวัติส่วนตัวของเขา ไม่ว่าจะเป็นชื่อจริง วันเดือนปีเกิด กรุ๊ปเลือด สถานที่เกิด เราจะระบุว่า X ตลอด นั่นเป็นนโยบายของเขาเอง YOSHIKI มักพูดเสมอว่า "X" คือทุกสิ่งทุกอย่างของผม ประวัติของเขาจึงมีแต่ X เต็มไปหมด แต่ด้วยความเป็นเพื่อนกับ TOSHI จึงทำให้รู้ว่า เขาอายุเท่าไหร่ เกิดที่ไหน เหตุผลที่แท้จริงที่เขาไม่ยอมเปิดเผยวันเกิดนั้นก็เพราะว่า เขาจะรู้สึกเขินเมื่อถึงวันเกิดของเขาแล้วทุกคนแสดงความยินดี ทำให้ได้รู้ว่าเขาขี้อายมากๆ ชีวิตในวันเด็กนั้นมีอุบัติเหตุและเหตุการณ์มากมายเช่น ในสมัยประถม เขาจะมีความทรงจำกับรพ.มากกว่ารร. เพราะป่วยเป็นโรคหืดหอบ (ปัจจุบันหายแล้ว), เดินบนถนนกับแม่ก็ถูกมอเตอร์ไซด์ชน ข้ามทางม้าลายก็ถูกรถชน YOSHIKI เองยังพูดว่า "ดวงไม่ดีมันมาแรง" ในวันเกิดครบ 10 ขวบ ตอนที่เขาอยู่ ป.5 เขาได้รับกลองเป็นของขวัญวันเกิดจากแม่ ซึ่งปกติเขาจะได้รับเครื่องดนตรีเป็นของขวัญวันเกิดทุกปีจนถือเป็นธรรมเนียม หลังจากที่เขากลับบ้านก็พบกลองตั้งอยู่กลางห้องและตัวเขาเองก็ไม่เคยสนใจกลองมาก่อนเลย ที่ได้กลองเป็นของขวัญเพราะ พ่อของเขาอยากให้ตีกลองเป็นมือกลองที่ดีให้ได้ และตอนอายุ 5 ขวบ เขาก็ได้รับของขวัญเป็นเปียโน ตัวเขาเอง เริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่ 5 ขวบ เพราะพ่อแม่อยากให้เขาเป็นนักเปียโน นอกจากเรียนเปียโนแล้ว ก็ให้เรียนคัดอักษร วาดภาพ ลูกคิด ภาษาอังกฤษ เรียงความ และการเรียนเปียโนเป็นสิ่งที่เขาเล่นติดต่อกันนานที่สุด แม้ระหว่างนั้นเลิกเล่นไปหลายครั้ง แต่พอเวลาผ่านไประยะหนึ่งเขาก็เริ่มหันมาดีดเปียโนใหม่ เมื่อเข้าเรียน ม.ต้น ร่างกายของเขาเริ่มแข็งแรงขึ้น และเข้าร่วมชมรมดนตรี เป็นชมรมที่มีชื่อเสียงมาก ชนะการประกวด ได้อัดแผ่นเสียง YOSHIKI เล่นทรัมเป็ต TOSHI เล่นยูนิฟอเนี่ยม แต่ต่อมาเขาเริ่มรู้สึกว่าการเล่นเครื่องดนตรีเบาๆ เริ่มไม่เต็มอารมณ์ จึงหันมาเล่นกีฬา เขาเลือกเล่นฟุตบอล เขาอธิบายว่า "เพราะเป็นกีฬาที่เหมือนคนทะเลาะกัน" และอีกสาเหตุหนึ่งเพราะเขาอยากปล่อยพลังงาน แต่เล่นได้ไม่นานก็เลิกไป และเขามีความคิดที่จะตั้งวงดนตรีขึ้น โดย YOSHIKI เล่นกลอง TOSHI ยังไม่ได้เป็นนักร้องนำ แต่มีหน้าที่เล่นกีตาร์ YOSHIKI เคยเข้าประกวดระหว่างห้องจนกลายเป็นฮีโร่ในห้องเรียนไป เพราะเป็นเด็กเกเรแต่กลับดีดเปีนโนได้อย่างสง่าสาม ไม่เพียงแต่นักเรียน อาจารย์เองก็ตกใจและคิดไม่ถึง เขารู้สึกสะใจมาก ม.3 รร.ที่เขาเรียนแบ่งออกเป็น 2 รร. ตัว YOSHIKI และ TOSHI ถูกย้ายไปเรียนที่ใหม่ ส่วนสมาชิกคนอื่นๆอยู่รร.เก่า เขาพบเพื่อนร่วมชั้นใหม่ คุณครูคนใหม่ ตึกเรียนใหม่ จึงทำให้เขาเริ่มเกเร สร้างปัญหามากมายให้คุณครูและรร.ใหม่ โดยปกติเขาก็ไม่ใช่เด็กเรียบร้อยอยู่แล้ว เขาจึงมีปัญหากับอาจารย์เป็นประจำ ย้อมสีผมตลอดถึงขนาดเคยโดนโกนหัวถึง 3 ครั้ง ชอบซิ่งมอเตอร์ไซด์และอาละวาดในรร.เป็นประจำ หลังสิ้นสุดพิธีจบการศึกษาของชั้น ม.ต้น เขาถือดาบไม้ไปขอบคุณอาจารย์ที่ห้องพักอาจารย์ แสดงว่าเขาร้ายมากๆ ขนาดทำลายตึกใหม่ อาคารต่างๆ จนพัง แต่ถึงกระนั้นเขาก็แตกต่างจากเด็กเกเรทั่วไป เพราะนิสัยที่ไม่ชอบยอมแพ้ใคร จึงทำให้เขาขยันเรียนกว่าเพื่อนๆ ทำให้คะแนนของเขาดีมาก TOSHI ก็เคยบอกว่า "YOSHIKI เก่งทุกอย่าง เป็นเด็กเกเรที่หัวดี" เขาเป็นเด็กเกเรที่ใครๆ ก็รับมือไม่ไหว แต่คะแนนการเรียนของเขานั้นยอดเยี่ยมมากจนเพื่อนๆ อิจฉาสำหรับคุณครูแล้วไม่มีเด็กคนไหนที่ดูแลยากขนาดนี้อีกแล้ว YOSHIKI เริ่มรู้จักกับดนตรีแนว ROCK ตั้งแต่อยู่ชั้น ป.5 และเขาก็รู้จักกับวง KISS จาก POSTER หน้าร้านขายเทป และพอรู้ว่า KISS จะมาแสดง CONCERT ที่ญี่ปุ่นจากหน้าหนังสือพิมพ์ จึงขอให้แม่พาไปดูและเป็นการดูการแสดงสดครั้งแรกของเขา และจากการที่เขาได้ดูการแสดงสดครั้งนี้ ทำให้เขาได้รับอิทธิพลจากการบนเวทีของ KISS และเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาตั้งวงดนตรีขึ้น และเพื่อนที่จะคุยเรื่องนี้ได้ก็มีแต่ TOSHI เท่านั้น ตอนที่เขาได้รับกลองเป้นของขวัญทำให้เขาอยากเป็นมือกลอง แม้ตอนนั้นจะเล่นเป็นแต่เปียโน แต่เขาก็มีความคิดที่จะนำไปใช้กับดนตรีแนว ROCK และคิดจะตั้งวงอย่างจริงจัง เขาเป็นนักร้องนำโดยตีกลองไปด้วย แต่เสียงของเขาเปลี่ยนช้า ทำให้เวลาร้องเพลงก็จะถูกเพื่อนล้อว่า "เสียงเหมือนเด็กทารก น่ารักจัง" ทำให้เขาเลิกร้องเพลงไปเลย เขาเริ่มตั้งวงอย่างจริงจัง ก็ตอนอยู่ ม.1 เขาเป็นหัวหน้าวง ม.2 มีโอกาสแสดงบนเวทีในงานรร. และม.3 ก็ได้จัด CONCERT โดยยืมศาลาประชาชนประจำเมือง ตอนนั้นใช้ชื่อวงว่า "NOISE" YOSHIKI และTOSHI เริ่มแสดงในสถานที่ต่างๆ มาขึ้นและเริ่มแสดง CONCERTของตัวเอง นอกจากนั้นยังเข้าประกวดในงานต่างๆ ด้วย ชีวิตในวัยเรียนของเขาจะเล่นดนตรีเป็นส่วนใหญ่แต่เขาก็ยังเกเรเหมือนเดิม พอขึ้นชั้น ม.ปลาย การต่อต้านเริ่มรุนแรงขึ้น ตัวเขาเองบอกว่า "ชั้น ม.3,4,5 ทั้ง 3 ปี จบลงอย่างสมบูรณ์" ในตอนนั้นเขาไม่สนใจอะไร คิดแต่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าจะรอดจากการถูกไล่ออก แต่ก็ถูกพักการเรียนไปหลายครั้ง และก็เคยถูกตำรวจจับด้วย แต่พายุแห่งการต่อต้านเริ่มจางลงเมื่อใกล้จะจบชั้น ม.5 เมื่อเขาพบกับปัญหาการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย นอกจาก YOSHIKI และ TOSHI แล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ขอถอนตัวหมด
เขาหาสมาชิกใหม่และเปลี่ยนชื่อวงใหม่ว่า "X" ที่เขาตั้งชื่อนี้เพราะเห็นว่าเป็นอักษรตัวเดียวจะสะดุดตามากกว่า เพราะตอนนั้นกำลังฮิตชื่อยาวๆ (ทีแรกเขาไม่จริงจังกับการใช้ชื่อนี้ แต่เพราะยังไม่รู้ว่าจะใช้ชื่ออะไรเลยใช้ไปพลางๆ ก่อนแล้วเกิดชอบใจก็เลยไม่ได้เปลี่ยน) นอกจากจะเล่นเพลงเพลงเลียนแบบ IRON MAIDEN แล้ว ก็เริ่มทำเพลงของตัวเองด้วย เพลง I'LL KILL YOU ที่พวกเรารู้จักกันก็เป็นเพลงที่แต่ในตอนนี้ด้วย แม้สมาชิกจะลาออกไปแต่ YOSHIKI และ TOSHI ก็เห็นว่าการทำวงต่อเป็นเรื่องสมควร ความหวังของเขาคือเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดนตรี เพราะเขาอยากเป็นนักเปียโน ก็คิดว่าถ้าไม่จริงจังคงไม่เรียนต่อในมหาวิทยาลัยแน่นอน เขาซ้อมวันละ 6 ชม. นิ้วเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเปียโน ทำให้เขาต้องดูแลรักษานิ้วเป็นอย่างดี ขนาดล้มยังเอาเข่าลงแทนมือ แต่เรื่องตีกลองก็เป็นปัญหาสำหรับเขา เพราะครูสอนเปียโนจะดุเขาเรื่องแผลที่เกิดจากการตีกลอง แต่เขาก็ยังไม่ยอมทิ้งกลองระหว่างเล่นเปียโน ตอนนั้นเขาไม่คิดว่าจะประสบความสำเร็จกับวงดนตรีหรือการเป็นนักดนตรีแนว ROCK ซึ่งทำให้ตัวเขาแปลกใจว่า "ตอนนั้นแม้จะถูกครูสอนเปียโนดุด่าเรื่องตีกลองแต่ก็ยังไม่เลิกตีกลอง" เขาขมักเขม้นกับการฝึกทำนอง ซอลเฟจู และคอลยู บูเก็น แต่ก็ยังเล่นกับวงดนตรีแต่เฉพาะช่วงที่ว่างเท่านั้น และ 1 อาทิตย์ก่อนการสอบเข้าก็ซ้อมหนัก แต่จู่ๆ ก่อนการสอบ 1 วัน เขาก็พูดขึ้นมากระทันหันว่า "จะเลิกสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย" เขาบอกกับแม่ว่า "แม่ครับ ผมอยากเป็น ROCK STAR!" เป็นเรื่องที่ทันด่วน ทำให้คนรอบข้างและแม่ของเขาตกใจและสับสนไปตามๆ กัน แต่การตัดสินใจของเขาหนักแน่น ไม่ว่าใครจะหว่านล้อมยังไงก็ไม่สนใจ เขาเริ่มที่จะแต่งเพลงและเล่นเองอย่างอิสระ แต่เขาก็ยังมีความคิดที่ว่า "เพลงคลาสสิคเป็นการเลียนแบบเพลงคนอื่น" ในการประกวดตอน ม.6 TOSHI ได้รับรางวัล BEST VOCAL และ YOSHIKI ได้รับรางวัล BEST DRUM และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเช่นนั้น แถมยังรู้สึกว่าตัวเองอาจมีความสามารถที่ไม่จำกัดแฝงอยู่ด้วย (อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาใช้ชื่อวงว่า X เพราะเขาเคยบอกว่ามันหมายถึง ความไม่มีที่สิ้นสุดหรือ INFINITY) เมื่อเขารู้สึกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยดนตรีเพื่อเป็นนักดนตรีมันตัน ก็ทำให้ความฝันในการตั้งวง ROCK ในใจเขาเริ่มพองโตขึ้น การที่เขาล้มเลิกการเข้าเรียนต่อ เขาก็นัดแนะกับ TOSHI ว่า "เอาวะไปตายเอาดาบหน้า กะว่าถ้าแม่ของเราด่าก็เก็บกระเป๋าก้าวลงบันได้ไปโตเกียวเลย" ปรากฏว่าที่บ้านของทั้ง 2 ตกใจมาก แต่ก็ไม่ห้ามอะไร อยากไปนักก็ให้ไป ทั้ง 2 ก็ขึ้นรถไฟไปโตเกียวหลังจากที่เรียนจบม.6 เพื่อที่จะทำให้ X เจริญเติบโตขึ้น เขากับ TOSHI เริ่มทำงานพิเศษพร้อมกับหาสมาชิกไปด้วย ทั้ง 2 เช่าอพาร์ตเมนท์อยู่ด้วยกัน ทำงานพิเศษทุกอย่าง ไม่ว่าจะเสิร์ฟอาหารกวาด-ถูพื้นร้าน ระหว่างทำงาน ก็ทำเพลงไปเสนอค่ายเทปด้วย แต่เงินที่ได้มาก็ไม่พอใช้ ในที่สุดเขาก็เขียนจม.ไปขอตังค์แม่ของเขา ซึ่งแม่ของเขาก็ให้ YOSHIKI ชอบสไตล์ผมและการแต่งหน้าแบบตนเอง ไม่เหมือนใคร ทรงผมของเขานั้นก่อนเข้าวงการคือ ผมตั้งแบบหอยเม่น และมักจะทำผมตั้งขึ้นเวทีอยู่เสมอ ตอนที่ X เปลี่ยนสมาชิกวง ทำให้แสดงดนตรีไม่ได้ เขาได้ไปช่วยวงอื่นตีกลอง ตอนนั้นเขาไม่มีเวลาเลยขึ้นไปแสดงบนเวทีทั้งที่ผมตั้งแค่ครึ่งเดียว เมื่อตั้งผมครึ่งเดียวจึงแต่งหน้าซีกซ้ายและขวาไม่เหมือนกัน ครึ่งนึงเป็น PUNK อีกครึ่งเป็น HEAVY METAL มันแสดงถึง 2 บุคลิกในคนเดียว เจ้าตัวเองก็ชอบใจเอามาก สาเหตุที่ถูกใจมากที่สุดก็คือ ดูเด่นดีและไม่เหมือนใคร จากที่ต้องเปลี่ยนสมาชิกของ X ตอนนั้นมีแค่ YOSHIKI และ TOSHI เท่านั้น การซ้อมที่มีมือกลองและนักร้องนำนั้นทำไม่ได้ และคนที่เป็นกำลังใจให้ YOSHIKI ก็คือ TOSHI นั่นเอง TOSHI มักจะอยู่เคียงข้าง YOSHIKI เสมอมา TOSHI บอกว่าตอนนั้นรู้สึกว่าควรทำอะไรให้มันติดต่อกัน สมาชิกเปลี่ยนบ่อยมากถึงขนาดเคยคิดว่า "ถ้าเอาหินปาใส่นักดนตรีใน HARAJUKU คงจะถูกอดีตสมาชิกวง X สักคนหนึ่ง" ซึ่งหลังจากที่ YOSHIKI สามารถทำให้ TAIJI ยอมเข้าวงได้ก็เริ่มการแสดงสดอย่างจริงจัง แถมยังมีการอาละวาดบนเวที ล่างเวทีก็ทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ในงานดื่มฉลองหลังเสร็จงาน ทั้งผู้เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง นักดนตรีและแฟนเพลงแน่นไปหมด จึงทะเลาะกันใหญ่เป็นประจำทุกวัน YOSHIKI ชอบทำแก้วในร้านแตกหมดและชอบเหวี่ยงขวดเบียร์หลาย 10 ขวด จนเป็นข่าวลืออยู่เป็นประจำ เลยทำให้ร้านเหล้าห้ามไม่ให้เขาเข้ามากขึ้น ถึงขนาดที่ร้านเหล้าแถว SHIBUYA ต้องตรวจหาว่า " มีคุณ YOSHIKI มาด้วยรึเปล่า" YOSHIKI นั้น มีท่าทางยิ้มแย้มและสุขุมมากเหมือนเด็กหนุ่มที่น่ารัก ในเวลาพักผ่อนเขาเป็นคนร่าเริง พูดเก่งและเป็นมิตรมาก จากท่าทางการเดินเทเหล้าในสมาชิกวงดนตรีอื่นๆ ในวงเหล้านั้น ไม่มีท่าทีอันบ้าระห่ำที่ว่า "เป็นมือกลองที่พอเมาแล้วเหมือนสัตว์ประหลาดอาละวาด" หลงเหลืออยู่เลย มันแตกต่างจากคำเล่าลืออย่างสิ้นเชิง หน้าตาที่ล้างเครื่องสำอางค์ออกนั้นงดงามมากจริงๆ ในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง เขาพูดถึง CONCERT กลางแจ้งที่ HIBIYA TOSHI จะล้อ YOSHIKI ว่า "ถ้าจะฆ่า YOSHIKI ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ แค่ให้เล่นเพลงเร็วๆ ติดต่อกันก็พอแล้ว" ทำให้ YOSHIKI ตอนพักหายใจแล้วพูดว่า "เมนูการแสดงกลางแจ้งมันสุดยอดแล้ว แต่มันอาจเป็นวันตายของผมก็ได้ครับ" YOSHIKI มีดี 2 ด้านคือ สามารถเล่นกลองหนักๆ ได้ เหมือนมนุษย์มหัศจรรย์และพลังในการ SOLO กลองมันอัดแน่นมาก แต่ในทางกลับกันก็เล่นเปียโนได้อ่อนหวาน นับเป็นอะไรที่เปลกและน่าประทับใจจริงๆ และในเมื่อ X คือทุกสิ่งทุกอย่างของ YOSHIKI ดังนั้นอย่าแปลกใจที่ประวัติของเขาไม่ได้จบลงท้าย ด้วยคำพูดที่สวยงาม ถ้าคุณได้อ่านประวัติของ X ตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว มันก็เหมือนกับคุณได้อ่านประวัติของ YOSHIKI เช่นกัน
HIDE



ที่เป็นเด็กประถม เจ้าตัวบอกว่าเขาอ้วนมาก เหมือนลูกโป่งเลย (คงประมาณ 80 กก.) แต่ตอนอนุบาลไม่อ้วน มาเริ่มอ้วนสมัยประถม มันเป็นเหมือนปมด้อยในชีวิตเขาเลย แต่ความอ้วนก็มีข้อดีเหมือนกัน HIDE บอกว่าทุกคนจะจำเขาได้อย่างรวดเร็ว ตอนที่ย้ายห้องใหม่ๆ ที่ครูจำได้เพราะอ้วนที่สุด หรือไม่ก็ที่ 2 ของห้อง ตอนพักกลางวันที่สนามของรร.มีแต่คนอ้วนทั้งนั้นเลย แล้วครูก็บอกว่าความอ้วนจะเกิดปัญหากับหัวใจ แล้วครูก็บังคับให้เขาออกกำลังกาย ทุกคนในรร.ก็มองลงมาที่สนามที่มีคนอ้วนที่ถูกบังคับให้วิ่ง มันเจ็บปวดมากเลยสำหรับเขา แต่ครูที่เป็น TRAINER บอกว่า "จะทำให้พวกเธอผอมให้ภายในไม่กี่เดือน" ครูของเขาก็เป็นคนอ้วนเหมือนกันเลยไม่ยอมวิ่งกันและมันก็ไม่ได้ผลด้วย ตอนม.3 เขาสูง 150 ซม. แต่หนัก 70 กก. นับว่าอ้วนที่สุดแล้ว แต่พอขึ้นม.ปลาย การกินของเขาก็เปลี่ยนไป เวลาขอเงินแม่บอกว่าจะไปซื้อขนมปังกิน แต่จริงๆ เอาเงินเก็บไว้ซื้อของอื่นๆ เช่น พวกเสื้อผ้า SATIN เลยไม่กินข้าวกลางวัน กลับถึงบ้านก็ไม่กินแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปเที่ยวต่อทันที พอทำอย่างนี้ก็ผอมลงเรื่อยๆ เลยคิดว่า "ทำแบบนี้ดีนี่" เลยไม่กินซะเลย วันนึงกินแค่มื้อเดียวหรือไม่กินเลย ผอมลงมาก 2 เดือน นน.ลดตั้ง 20 กก.อย่างสบายๆ ผอมลงจนเหมือนคนละคน ทางบ้านจะสนับสนุนให้ HIDE เรียนพิเศษมากมายเยอะไปหมด ไม่ว่าจะภาษาอังกฤษ ลูกคิด เคนโด คาราเต้ คัดอักษร เปียโน อันนี้เป็นสิ่งเดียวที่ไม่อยากเรียน พูดไปก็ร้องไห้ไป แม้ว่าเขาจะได้รับความสนับสนุนทางด้านการเรียนเป็นอย่างดี แต่เขาก็ไม่ค่อยใส่ใจกับการเรียนเท่าไหร่นัก แม้จะไปรร.ทุกวันเหมือนเด็กขยัน เขาชอบขี่จักรยานมากกว่าที่จะไปนั่งสนใจเกี่ยวกับการเรียน เขาเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงม.ต้น คำพูดที่แม่จะพูดเวลาที่เขากลับบ้านคือ "วันนี้ไปเรียนนู่น วันนี้ไปเรียนนี่" ตารางเวลาถูกจัดไว้อย่างดีโดยพอแม่ของเขา แต่เมื่อเขามาคิดๆ ดูแล้ว สิ่งที่เขาเรียนมาทั้งหมดในตอนนั้น มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยในปัจจุบัน ถ้าเรียนเปียโนยังจะมีประโยชน์เสียกว่า แต่เขาเกลียดสิ่งนั้นจริงๆ สมัยป.4 พ่อแม่ส่งให้เขาไปเข้าร่วมทัวร์สำหรับเด็กที่พาไป CANNADA และ LA. เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง เขาถูกส่งไป SHIKOKU เพียงลำพัง พ่อแม่ของเขาคิดว่าอนาคตอยากให้เขาเป็นคนที่มีความเป็น INTER แต่พอถามถึงความทรงจำในสมัยนั้น สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือการได้ไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะไม่มีเรื่องน่าอายเกิดขึ้นนั่นเอง ตอนแรกเขาไม่มีความสนใจในดนตรี ROCK เท่าไหร่นัก เหตุผลหนึ่งก็คือ เด็กคนที่เขาไม่ชอบหน้าเอามากๆ คนนั้นคลั่งไคล้ในการฟัง AERO SMITH มาก เวลาที่ HIDE ไม่ชอบใคร เมื่อคนๆ นั้นทำอะไรก็พลอยทำให้ไม่ชอบไปหมด ดังนั้น ดนตรี ROCK ในช่วงนั้นก็ขวางหูขวางตาไปด้วย แต่เหตุผลที่เขาเริ่มมาสนใจไม่ใช่เพราะเขาเลิกเกียดเด็กคนนั้น แต่เป็นเพราะช่วงม.2 เขาได้ฟังเพลงของ KISS ALBUM : ALIVE เขาชอบมากและเริ่มสนใจดนตรี ROCK อย่างจริงจังและขยายไปจนถึง PUNK เขาหานิตยสารเกี่ยวกับ KISS มาอ่าน อีกทั้งยังสมัครเข้าเป็น FANCLUB อีกด้วย เขาจะยืนคอยจม.ตอบรับทุกวันที่ตู้จม.หน้าบ้าน นอกจาก KISS แล้วเขาก็ชอบ LED ZEPPLINE, QUEEN โดยเฉพาะวง JAPAN ที่ปลื้มเป็นพิเศษ เพราะวงนี้จะแต่งหน้าเหมือนผู้หญิงและมีทรงผมแปลกๆ ทำให้วงนี้น่าสนใจสำหรับ HIDE มาก อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะสมัยก่อนไม่มีวงแบบนี้ให้เห็นบ่อยนักเมื่อได้เห้นต่างก็แปลกใจ รวมทั้ง HIDE ด้วย เขาเริ่มสนใจเล่นกีตาร์ ตอนแรกจะเล่นไม้เทนนิสแทนกีตาร์ โพสท่าหน้ากระจก แถมยังบอกว่า "มันใช้ได้เหมือนกัน" เขาดีดไม้ เทนนิสมาเกือบปี พอขึ้นม.3 ยายก็ซื้อกีตาร์จริงๆ ให้สมใจอยาก เป็นของ GIBSON รุ่น LESPAULเป็นรุ่นที่ดีมากสำหรับนักเล่นกีตาร์มือใหม่ สำหรับเด็กม.3 กีตาร์รุ่นนั้นนับว่าหรูอย่าบอกใครเชียว เพื่อนๆ ในห้องพากันอิจฉาและจะเรียกเขาว่า "นาย GIBSON" เขาภูมิใจกับชื่อนี้มาก สมัยม.ปลาย ครั้งหนึ่ง ตอนสอบสัมภาษณ์เพื่อขอโควต้าเข้าเรียนต่อ คนสัมภาษณ์ถามว่า ทำไมถึงเลือกมาสอบที่นี่ เขาก็ตอบว่า "ไม่มีที่ไปนอกจากที่นี่เพราะเป็นที่เดียวที่สอบได้" จึงทำให้เขาไม่ได้รับคัดเลือก เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องเรียนเท่าไหร่นัก ขนาดไม่รู่ว่า รร.ที่ไปสอบเข้าเป็น รร.ชายล้วน เขาเบื่อ รร.มาก เขาไปเรียนเพื่อให้ครบตามที่รร.กำหมดไว้เท่านั้นเพื่อจะได้เลื่อนชั้น HIDE เกลียดวิชาพละเลยโดดวิชานี้เป็นประจำ ที่รร.เคร่งครัดเรื่องผมมาก ห้ามทัดหู ห้ามย้อมผม ดัดผมก็ไม่ได้ HIDE ไว้ยาวแค่ 3 ส่วนแล้วใช้กิ๊บติดด้านหลัง เขาบอกว่ามันลำบากมากเลย ตอนย้อมผมก็ใช้สเปรย์ฉีดทับ ตอนปิดเทอมหน้าร้อน เขาก็ให้ยายย้อมผมให้เพราะยายเป็นช่างเสริมสวย แต่พอบอกพ่อแม่ว่าอยากย้อมผมก็ถูกพ่อแม่ดุเอา แต่ยายจะพูดว่า "ก็ลองทำดูสิ" เพราะตัวยายเองก็ย้อมสีม่วงบ้าง เขียวบ้าง ยายเป็นคนเปรี้ยวมาก (ใน ALBUM: BLUE BLOOD ชุดส่าหรี่สีน้ำตาลของอินเดียที่ HIDE ใส่ตอนถ่ายรูป ก็เป็นชุดที่ยายใส่เดินไปเดินมา HIDE บอกว่ายายของเขาเท่ห์มากเลย) นอกจากเรื่องผมแล้วที่ รร.ยังห้ามเล่นดนตรี ROCK อย่างเด็ดขาด ในหนังสือคู่มือนักเรียนก็เขียนไว้ว่า กีตาร์ไฟฟ้าเป็นสิ่งต้องห้าม เขาผิดหวังมาก เพราะเขาตั้งใจว่าเมื่อเข้าม.ปลายจะตั้งวง แม้ว่ารร.จะห้ามเล่นดนตรี แต่เขาก็ตั้งวงของตัวเองได้ เพราะที่ YOKOSUGA มี PUB และ LIVE HOUSE สำหรับทหารอเมริกันมากมาย เพราะฉะนั้นการตั้งวงดนตรีก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ขณะนั้นเขาก็ตั้งวงชื่อSABER TIGER นโยบายของวงคือ ทำอะไรก็ได้ให้เลิศหรูและเวอร์ที่สุด HIDE กับเพื่อนๆ ก็ทำผมเหมือนวง JAPAN HIDE เองก็ใส่โซ่อันที่ไปขโมยมาจากมอเตอร์ไซด์ที่ลาดจอดรถอีกด้วย แรกๆ SABER TIGER จะเล่นเพลงของวงที่ดังๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฝีมือของทุกคนก็เริ่มดีขึ้นจึงเริ่มที่อยากจะเล่นเพลงของตัวเองบ้าง HIDE เองก็คิดว่าเป็นเรื่องดีเพราะจะทำให้คุณภาพของวงดีขึ้น เขาจึงเริ่มเข้มงวดกับสมาชิก เขาเปลี่ยนสมาชิกหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้ได้เสียงดนตรีตามที่เขาต้องการ เขาเรียกการเปลี่ยนสมาชิกของวงว่า "แผนการตัดหัวที่น่าสะพรึงกลัว" เขาใช้สิทธิ์หัวหน้าวงอย่างเต็มที่ ด้วยชุดที่หรูหราในระยะหลัง SABER TIGER ได้รับความนิยมเรื่อยๆ จนได้แสดงใน LIVE HOUSE ประจำในโตเกียว (ตอนนั้น SABER TIGER มีชื่อเสียงมากกว่า X อีก) แต่ก็ยังมีการเปลี่ยนสมาชิกในวงหลายครั้งหลายหน จนกระทั่ง HIDE ประกาศว่าถ้ามีใครสักคนลาออกไปอีกก็จะยุบวงทันที เพราะ HIDE เชื่อมั่นว่าสมาชิกชุดนี้จะไปได้สวย และเขาเองก็เหน็ดเหนื่อยกับการเปลี่ยนตัวสมาชิก และในที่สุดก็มีสมาชิกคนหนึ่ง (TETSU) ลาออกไป HIDE จึงตัดสินใจยุบวง SABER TIGER ที่ตั้งมานานถึง 6 ปี หลังจากจบ ม.ปลาย HIDE สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เขาตัดสินใจจะไปเรียนเสริมสวยเพราะที่บ้านมีกิจการอยู่แล้ว และจะทิ้งดนตรีอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าใครจะมาชวนก็ปฏิเสธตลอด ไม่ว่าเพื่อนๆ จะห้ามยังไงเขาก็ไม่เปลี่ยนใจ คืนก่อนที่ HIDE จะไปตัดผม ขณะนั้นเอง YOSHIKI ก็โทรมาหา HIDE พูดว่า "พรุ่งนี้ฉันจะไปตัดผมแล้ว" YOSHIKI พูดเพียงประโยคเดียวว่า "ลองมาทำกับฉันอีกครั้งเถอะ" HIDE ก็ตอบรับอย่างง่ายดาย และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่มาเป็นสมาชิกของวง X อย่างเป็นทางการเมื่อปี 1987 นอกจากงานของ X และงาน SOLO เดี่ยวของเขาแล้ว HIDE ยังทำงานการกุศลต่างๆ มากมาย เช่น การบริจาคเลือด การบริจาคไขสันหลังให้แก่ผู้ป่วยโรค GM1 Ganglios Dose Type 3 (อาการของโรคคือ เส้นประสาทล่วงล้ำไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย มีผลให้กล้ามเนื้อเสื่อมสภาพลงและยังไม่สามารถรักษาได้ พบผู้ป่วยทั่วโลก 23 ราย) และยังทำเข็มกลัดที่มีข้อความว่า "THANK YOU" เพื่อให้เป็นที่ระลึกผู้ที่เขียนบริจาคไขกระดูกโดยฝีมือการออกแบบของเขาเอง HIDE ได้รู้จักผู้ป่วยโรคนี้รายหนึ่ง เธอชื่อ MAYUKO (17 ปี) เมื่อปี 1996 ที่จังหวัด WAKAYAMA หลังจากนั้น HIDE ก็เป็นพ่ออุปถัมภ์ของเธอ เขาคอยเป็นกำลังใจให้เธอต่อสู้กับโรคร้ายนี้ มีนาคม 1996 อาการของเด็กคนนี้ทรุดหนักจนต้องผ่าตัดที่โรงพยาบาล เมื่อ HIDE ได้ข่าวก็รีบไป เขาตะโกนผ่านกระจกห้องปลอดเชื้อว่า"ALBUM ต่อไปจะใส่ชื่อ MAYUKO ลงไปด้วยนะ เธอต้องรอดตายให้ได้นะ" เขาพูดคำๆ นี้อยู่เกือบ 2 ชม. จนกระทั่งฤดูร้อนของปีนั้น MAYUKO ได้ออกจากโรงพยาบาล และใน ALBUM : PSYENCE ก็ได้ใส่ชื่อของเธอไว้ใน SPECIAL CREDIT ด้วย เช้าของวันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 1998 เวลา 7.30 น. แฟนของเขาเข้ามาพบ HIDE ในสภาพหมดสติ แต่ยังคงมีลมหายใจที่แผ่วเบาอยู่ ซึ่งคอของเขาแขวนอยู่กับผ้าเช็ดตัวซึ่งถูกฉีกออกเป็น 2 ส่วนตามยาว ผูกปลายผ้าเข้าด้วยกันแขวนอยู่กับลูกบิดประตูห้องนอนของเขาที่แมนชั่น (ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 เขต MINATO ,TOKYO) เธอรีบโทรแจ้ง 119 ทันที HIDE หมดลมหายใจ เมื่อเวลา 8.52 น. ขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล จากการชันสูตรศพพบว่ามีแอลกอฮอร์ปริมาณมากพอสมควรในเลือด ซึ่งคนเมาขนาดนั้นไม่น่าจะมีสติในการทำสิ่งใดๆ จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่น่าจะใช่การฆ่าตัวตาย อีกทั้งยังไม่มีเหตุจูงใจใดๆ เพราะงานต่างๆ ของเขาก็ประสบความสำเร็จด้วยดี นักจิตวิทยา "สันนิษฐาน" ว่าเกิดจากโรคเอเลเพนอล หรือ โรคนอนละเมอ นักจิตวิทยากล่าวว่า เมื่อเขาตกอยู่ในอาการง่วงหรือเบลอ เนื่องจากความมึนเมา ครึ่งหลับครึ่งตื่น อาจทำพฤติกรรมที่ผิดไปตามธรรมดาโดยไม่รู้ตัว เรียกว่าอาการ โรคนอนละเมอ เนื่องจากฝันร้าย พิธีศพจัดขึ้นวันที่ 7 พฤษภาคม ที่วัด CHIKUCHIHONGANGI ศพและกีตาร์ทั้งหมดของเขาตั้งไว้ในโบสถ์ ครอบครัว ญาติ เพื่อนๆ รุ่นน้องที่นับถือ HIDE ในวงการ MAYUKO และแฟนเพลงจำนวนกว่า 12,000 คน มารวมตัวกันเพื่อไว้อาลัยให้แก่ HIDE หลังจากที่เขาเสียชีวิต พระได้ตั้งชื่อให้เขาว่า "SHUTOKU INSHAKU JION" ตามประเพณีของญี่ปุ่น หลังจากประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว สถานที่ฝังศพก็คือที่บ้านเกิดของเขาเอง ส่วนอัฐิได้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ญี่ปุ่น และอีกส่วนหนึ่งนำไปลอยที่ทะเลสาบ SATAMONIKA, LA. ตามความต้องการของเขา แม้ตอนนี้เขาได้จากเราไปแล้ว หากแต่ชื่อและความดีของเขายังคงอยู่ต่อไปอีกนานแสนนาน...
TOSHI


ความทรงจำในวัยเด็กของ TOSHI เขาจะเน้นว่า เป็นคนธรรมดาสามัญมาก ครอบครัวมีฐานะปานกลาง อาศัยในชนบทที่สบายๆ ทั้งครอบครัวจะชอบเบสบอล จะไปเชียร์ทีมไจแอนท์เป็นประจำ คุณปู่คุณย่าชอบเลี้ยงเป็ดไว้ในบ้าน เขาบอกว่าคะแนนวิชาดนตรีจะดีมาก แต่กับวิชาอื่นๆ ก็เกือบได้เกือบตก ที่เขาสามารถเป็นนักร้องของ X ได้นั้นเป็นเพราะเขาอยู่กับดนตรีมาตั้งแต่เด็ก คุณแม่เป็นครูสอนเปียโน คุณพ่อเคยชนะการประกวดคาราโอเกะ เขาก็มีความสามารถทางด้านดนตรีมาตั้งแต่เด็ก แค่ฟัง MELODY ครั้งเดียวก็สามารถดีดเป็นดนตรีได้แล้ว อีกอย่างก็คือ ความที่เขาอยากเด่น เขามักจะเป็นหัวหน้าชั้น หัวหน้านักเรียน ประธานเชียร์ เป็นจุดเด่นในรร.เสมอมา TOSHI พบกับ YOSHIKI ตั้งแต่เรียนชั้นอนุบาล หลังจากนั้นเขาก็เรียนด้วยกันมาตลอด บ้านของพวกเขาห่างกันแค่ 10 นาทีถ้าขี่จักรยาน YOSHIKI นั้นเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กแล้วก็ชอบเพลง ROCK ด้วยทำให้ถูกคอกับ TOSHI ที่ชอบแนวนี้เหมือนกัน เพราะใน ร.ร. ประถมนอกจาก 2 คนนี้แล้ว คนอื่นไม่สามารถคุยเรื่องเพลง ROCK ได้ จึงทำให้พวกเขาเริ่มตั้งวงตั้งแต่ ป.5 แต่ได้เริ่มตั้งจริงๆ ก็ตอน ม.1 ตอนนั้น TOSHI เล่นกีตาร์ แต่พอ ม.3 ร.ร. ม.ต้นแยกเป็น 2 ร.ร. เมื่อนักร้องนำย้ายไปอยู่อีกร.ร. TOSHI จึงได้เป็นนักร้องนำแทน เพราะเขาชอบร้องเพลงต่อหน้าผู้คน เลยเลิกเล่นกีตาร์ที่ซ้อมเท่าไหร่ก็ไม่เก่งขึ้นสักที แต่ว่า TOSHI สมัย ม.ต้นไม่ได้ทำแค่วงดนตรีอย่างเดียว ตอน ม.ต้นเขาอยู่กับการซ้อมที่เข้มงวด ความอดทนการออกเสียงดังๆ และความสามารถทางกีฬา เมื่อได้มาเป็นนักร้องนำวง X ลักษณะพิเศษต่างๆ ที่แสดงออกมาก็ได้มาจากตอนอยู่ชมรมวอลเล่ย์บอลนั่นเอง แม้จะอยู่ชมรมกีฬาแต่ก็เล่น CONCERT เป็นประจำ วางแผนงานกันเอง แม้ต้องขนเครื่องดนตรีเองก็ทำ ตอนนั้นใช้ชื่อวงว่า NOISE พออยู่ ม.5 ก็เปลี่ยนมาเป็น X ดังขนาดที่ว่าไม่มีใครในทาเทยาม่าไม่รู้จัก ในงาน ร.ร. ตอน ม.6 มีคนมาดูเขาเล่นกันเป็นพันๆ คน แม้จะอยู่แค่ ม.ปลาย พวกเขาก็ก้าวไปถึงจุดสูงสุดในทาเทยาม่า เขาเริ่มต้นเข้าประกวดเพื่อเป็นการทดสอบฝีมือของเขาเอง และส่วนใหญ่ก็จะได้รางวัลยอดเยี่ยมหรือรางวัล BESTVOCALIST เมื่อทั้งคู่มั่นใจในฝีมือของตนการประกวด จึงตัดสินใจเดินทางเข้าโตเกียว พวกเขาต้องพบกับความยากลำบาก อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน เพราะที่นี่มีนักดนตรีเก่งๆ ที่อยากเป็น ROCK STAR มากมาย แม้พวกเขาจะเด่นแต่เทคนิคยังสู้นักดนตรีคนอื่นๆ ไม่ได้ ทำให้ยากต่อการหาสมาชิกร่วมวง และสาเหตุที่ต้องย้อมผมเป้นสีทองก็เพราะว่า วันหนึ่งทั้งคู่ได้ยินคนที่จะมาสมัครเข้าวงย้อมผมเป็นสีทอง ทั้งคู่จึงรีบไปย้อมผมเป็นสีทองด้วย เลยขอวางมาดเท่ห์ไว้ก่อน หลังจากเดินทางเข้าโตเกียวครบ 1 ปี พวกเขาก็ได้แสดงสดใน LIVE HOUSE ชื่อ ลา มาม่า(ปัจจุบันก็ยังอยู่ที่ย่านชิบูย่า) การแสดงสดครั้งนี้ นับว่าเป็นเกียรติประวัติของพวกเขาเลยทีเดียว ในช่วงกลางวันจะใช้คัดเลือกสมาชิก ช่วงกลางคืนเป็นเวลาของการแสดง พวกเขาจะจัดจำหน่ายตั๋วใบละ 500 เยน และในแต่ละครั้งจะมีคนดูเพียง 20 คนเท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่ย่อท้อ แม้ตะต้องทุบประปุกกินกันก็ยอม แต่พวกเขาก็เชื่อมั่นว่า X จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน จึงทำให้พวกเขาไม่ย่อท้อแม้แต่น้อย 14 กุมภาพันธ์ 1997 TOSHI จดทะเบียนสมรสกับนางสาว KAORI (27 ปี) ทั้คู่รู้จักกันครั้งแรกในเดือนตุลาคม 1993 ในการแสดงละครเวที ROCK OPERA HAMLET ใช้เวลาดูใจกันนานถึง 3 ปี “ผมเชื่อใจในเธอ สำหรับผมแล้ว เธอมีความหมายในชีวิตผมมาก เธอเป็นคนที่เติมเต็มชีวิตผมให้สมบูรณ์” วันรุ่งขึ้น TOSHI ประกาศเรื่องการแต่งงานให้กับแฟนๆ ได้ทราบใน SOLO CONCERT ของเขาว่า “ผมอยากบอกให้แฟนๆ ทราบในเรื่องที่ผมแต่งงานกับเธอ และผมยืนหยัดอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะแฟนๆ ทุกคนที่ให้การต้อนรับผมด้วยดีมาตลอด ขอบคุณครับ” 20 เมษายน 1997 TOSHI ขอลาออกจากวง ด้วยเหตุผลก็คือ ความแตกต่างของแนวความคิดทางด้านดนตรี 31 ธันวาคม 1997 TOSHI กลับมาเล่น CONCERT THE LAST LIVE ที่ TOKYO DOME ให้กับ X อีกเป็นครั้งสุดท้าย ปลายปี 1998 TOSHI และ KAORI เข้าร่วมลัทธิ RUMERIA ของ MASAYA ตั้งแต่นั้นมานิสัยเขาก็เปลี่ยนไป หงุดหงิดง่าย เปลี่ยนการแต่งตัว ถือมังสวิรัต ไม่กินพืชที่เติบโตจากปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ใช้เงินเปลือง ใช้คำพูดและสรรพนามแปลกๆ ปฏิเสธแฟนเพลง เขาบอกว่า TOSHI ในอดีต (สมัยที่ยังอยู่กับ X) นั้นตายไปแล้ว ฯลฯ ครอบครัวและแฟนๆ ของเขาได้แต่ภาวนาและหวังให้ TOSHI กลับมาเป็นคนเดิม ...
TAIJI

GREATS BASS
[youtuve]http://www.youtube.com/watch?v=tGy1d5jonyI[/youtube]
สมัยเด็ก เขาเป็นเด็กที่ซุกซนมาก มีแผลทั้งตัว เก่งด้านกีฬามาตั้งแต่เด็ก สมัยประถมก็เริ่มเล่นกีตาร์ของพ่อ พ่อจึงเป็นนักกีตาร์คนแรกสำหรับเขา เขาเริ่มมารู้จักกับดนตรีอย่างจริงจังเมื่อตอน ม.3 เขาตั้งวงชื่อว่า TRASH ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงตาม LIVE HOUSE ในโตเกียวบ้าง ตอนนั้นเขายังเล่นกีตาร์อยู่ พออายุ 18 ปี วงก็ยุบไป และได้เข้าร่วมกับ DEMENTIA ในฐานะมือเบส จากนั้น 1 ปี ก็ลาออกจากวง ในขณะที่หาวงใหม่อยู่นั้น YOSHIKI ก็โทรมาชวนเข้า X แต่ตอนนั้นชื่อเสียงของ X ไม่ค่อยจะดีนัก พอฟังเพลงของ X ก็รู้สึกปวดหัว ทำให้เขาปฏิเสธไปแต่ก็สัญญากับ YOSHIKI ว่าจะไปดื่มพนันกัน 1 ครั้ง TAIJI มั่นใจในคอของตนเองมากเขาบอกว่า “กินเหล้าโปจูได้ 40 แก้ว” YOSHIKI ก็ได้แต่ “แฮะๆ เก่งนะ” TAIJI ถึงกับฉุนทีเดียว ทั้ง 2 ไม่ชอบแพ้ใครเป็นที่สุดทำให้การดวนเหล้าในครั้งนั้นน่ากลัวมากต่างฝ่ายต่างดื่มแบบไม่ลืมหูลืมตาเพราะกลัวแพ้ ทำให้ TAIJI ที่ไม่สนใจจะเข้าวงก็ยอมเข้าด้วย จึงพูดเล่นๆ ว่า “ถ้าเปลี่ยนมือกีตาร์ ฉันเล่นให้ก็ได้” พวกเขาจึงไล่มือกีตาร์ออกจริงๆ TAIJI เป็นมือเบสของวง X ตั้งแต่ปี 1986-1992 เขาลาออกจากวง วันที่ 31 มกราคม 1992 หลังจากออกไปแล้วเขาก็ตั้งวงใหม่ขึ้นชื่อ D.T.R. นิตยสารของญี่ปุ่นเคยจัดอันดับว่า TAIJI เป็นมือเบสอันดับ 1 ของญี่ปุ่น แต่นอกจากฝีมือเบสแล้ว การเล่นกีตาร์ของเขาก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน แม้แต่ HIDE เองยังบอกว่า เทคนิคทางกีตาร์ของ TAIJI ยอดเยี่ยมกว่าของเขา มันก็ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะอาจารย์สอนกีตาร์ของเขาคือ AKIRA TAKASAKI ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมือกีตาร์อันดับ 1 ของเอเชีย....
PATA


PATA เป็นชื่อเล่นที่ได้มาจากการ์ตูนเรื่อง PATARIO เจ้าชายเมือง BANCORAN ชื่อนี้เป็นชื่อที่เรียกกันมาถึงทุกวันนี้ บางทีเขาก็ถูก HIDE เรียกว่า เจ้าชายผมแดง PATA เป็นคนเงียบๆ ง่ายๆ สบายๆ ทำอะไรใน STYLE ของตัวเอง ในตอนเด็ก เขาก็เป็นเด็กเรียนหนังสือเก่ง คะแนนจะอยู่ 1 ใน 10 ตลอด โดยเฉพาะคณิตศาสตร์จะถนัดมาก เจ้าตัวบอกว่าไม่ได้เก่งอะไรแค่ไป ร.ร.ทุกวัน ตอนอนุบาลเรียนออร์แกน แต่เกลียดการซ้อมโน๊ตด้วยแม็กเน็ตลงบน 5 เส้น เลยเลิกเรียนภายใน 4-5 ครั้ง ชั้นประถมก็เรียนวาดภาพ ป.4 ได้รางวัลประเภทภาพสีน้ำของเมืองชิบะ ขึ้นม.ต้นก็เรียนวาดภาพสีน้ำมัน แต่พอโตขึ้นเขากลับบอกว่าไม่ถนัดวาดรูปเลย เขาไม่ค่อยชอบกีฬาแต่เพื่อนรอบข้างจะเล่นกัน เขาเลยเล่นฟุตบอลนิดหน่อย เข้าสังกัดชมรมเทนนิสตอนม.ต้น พอ ม.2 ก็ได้เป็นนักกีฬาตัวจริง สาเหตุที่เริ่มเล่นเทนนิสก็เพราะเขาติดการ์ตูน (ผู้หญิง) เรื่อง ACE O NERAEI เขาชอบอ่านการ์ตูน ของสะสมของเขาก็คือหนังสือการ์ตูน เขาไป ร.ร.จริงจังจนถึง ม.1 เท่านั้น หลังจากนั้นก็เริ่มขาดเรียนบ่อยๆ และพอ ม.3 ก็ไม่ได้ไป ร.ร.เลย เขายอมรับว่าเขาเป็นเด็กที่เกลียด ร.ร.มาก ไม่ใช่เพราะถูกรังแกหรือเกลียดการเรียน แต่เขารำคาญการที่ต้องไป ร.ร. เพราะร.ร.เดิมของเขานั้นเดินจากบ้านแค่ 10 นาทีเท่านั้น แต่ ร.ร. ม.ปลายต้องใช้เวลาในการเดินทางถึง 1.30 ชม. ทำให้เขาเริ่มที่จะไม่ไป เขาหมกตัวอยู่ในบ้านเพื่อดีดกีตาร์ทั้งวัน ตอนกลางคืนก็จะฟังรายการเพลงต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลทางด้านดนตรีทั้งหมด เขาเริ่มฟังดนตรีมาตั้งแต่ป.4 ดนตรีแรกที่สัมผัสคือ เพลงของ THE BEATLES ที่พี่ชายของเพื่อนเอามาให้ฟัง จากนั้นก็ชอบ KISS, AERO SMITH และวง ROCK ต่างๆ เช่น CHEAP TRICK เป็นต้น แต่ที่สร้างความประทับใจให้เขามาที่สุดในตอนนั้นคือ ริค นิลเซน มือกีตาร์วง CHEAP TRICKเขาชอบความเท่ห์ของริคทำให้เขาเริ่มซ้อมกีตาร์โฟลกของน้องสาว จากนั้นก็ชอบ ริช แบล็คมอร์ (DEEP PURPLE-RAIN BOW) ทำให้เขากลายเป็นหนุ่ม HARD ROCK เขาไม่มีโอกาสโชว์ฝีมือทางกีตาร์ เพราะเขาไม่มีเพื่อนที่ตีกลองได้เลยทำให้ตั้งวงไม่ได้ เขาจึงได้แต่ซ้อมกีตาร์กับเพื่อนนิดหน่อยเท่านั้น หลังเข้าเรียนชั้น ม.ปลาย ก็เริ่มตั้งวงกับเพื่อนที่รู้จักที่ร้านขายเครื่องดนตรี และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาได้ค่อยได้ไป ร.ร. ในงาน ร.ร.ฤดูใบไม้ร่วง เขาพาวงดนตรีของเขามาร่วมงาน ชายคนที่ไม่ค่อยมา ร.ร.แต่มาปรากฏตัวบนเวที มีเทคนิคกีตาร์เกินกว่าเด็กชั้น ม.ปลาย ทำให้เพื่อนๆ สนใจ เขาจึงกลายเป็นฮีโร่ภายใน 1 วัน หลังจากนั้นเขาก็ไม่ไป ร.ร.อีกเลย วงที่เข้าร่วมชื่อ BLACK ROSEเขาได้ดูการแสดงบนเวทีของ X ในการแข่งขันของชิบะ ในตอนนั้น TOSHI ยังผมสั้นอยู่ YOSHIKI ก็หน้าแก่จนคิดไม่ถึงว่าเป็นเด็ก ม.ปลาย หลังจากนั้นเขาก็ย้ายมาอยู่วง JUDY แสดงที่ LIVE HOUSE ในโตเกียว จึงทำให้เริ่มสนิทกับ TOSHI และ YOSHIKI ในที่สุดวง JUDY ก็แยกตัวกันไป PATA ก็ไปทำงานพิเศษ ในเวลานั้น YOSHIKI โทรมาหาและบอกว่า “คนเล่นกีตาร์ลาออกไปแล้ว ช่วยมาเล่นให้หน่อยได้มั้ย” เขาอยากเล่นกีตาร์มากจึง ตอบตกลงไปด้วยความดีใจ และนี่ก็เป็นเหตุให้เข้าร่วมวง X ได้ในที่สุด ทรงผมของ PATA ในตอนแรกๆ จะเป็นทรง MOHICAN (ไถ่ผมทั้ง 2 ข้างออกหมดยกเว้นตรงกลางแล้วตั้งขึ้นเหมือนนกหัวขวาน) ผู้ออกแบบทรงผมและสีผม (สีแดง) ก็คือ HIDE นั้นเอง PATA ยอมตัดผมทรงนี้เพราะไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร แต่ปัจจุบันก็ไว้ผมยาวหยิกเป็นลอนๆ ดูเท่ห์มากเวลาเล่นกีตาร์ ...
HEATH


HEATH เป็นคนเรียบร้อย ทำงานมีระเบียบแบบแผน รักความสะอาด เขาจะทำความสะอาดห้องและจัดโต๊ะของเขาให้สะอาดและเป็นระเบียบอยู่เสมอ ใจดี ชอบTAKECAREคนอื่น แต่ 2 อันหลังเขาบอกว่าไม่ค่อยแสดงออก สิงหาคม 1992 X-Japan ประกาศตัวมือเบสคนใหม่ นั่นคือ HEATH ชายที่อายุน้อยที่สุดในวง ในตอนแรกเขาได้รับแรงกดดันมากทีเดียวเพราะความที่เป็นคนใหม่ อีกทั้งยังต้องเล่นในตำแหน่งของ TAIJI ที่มีเทคนิคและฝีมือดีมาก เขาต้องซ้อมหนักกับเพลงต่างๆ ของ X แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจาก TAIJI เป็นอย่างดีหลังจาก ART OF LIVE แล้ว เขาก็เป็นที่ยอมรับของแฟนๆ HEATH เป็นมือเบสของ X ตั้งแต่ปี 1992-1997 ประวัติในวงการ 1985 เข้าวง PARANOIA เป็นวงใต้ดินที่โอซาก้า 1986 เข้าวง MEDIA YOUTH เป็นวงใต้ดินที่โตเกียว 1991 ร่วมงาน EXTACY SUMMIT 1991 1992 เข้าวง X หลังจาก TAIJI ออกได้ 10 เดือน เพราะ HIDE โทรไปชวนให้มาช่วยเล่นให้ X ทำงานชิ้นแรกร่วมกับ X ; MINI ALBUM ART OF LIVE 22.2.1995 ออก MINI ALBUM & VDO. PACKAGE LIMITED SALES ( TOP 1 VDO. ) 7.10.1996 ออก SINGLE แรก เมเคียวโนะ เลิฟเวอร์ เป็นเพลง ENDING ของการ์ตูนเรื่อง โคนันยอดนักสืบ 19.2.1997 ออก SINGLE ที่สองชื่อ TRAITOR ปัจจุบัน HEATH เปิดบริษัทชื่อ M ’S COMPANY ร่วมกับ TATSUYA พี่ชาย ตั้งอยู่ที่ตึก LEMONed ที่เดียวกับบริษัทของ HIDE ...
Thx to http://www.xjapanthailand.co.nr for Data of X's members kub
เพลงแนะนำครับ
CRUCIFY MY LOVE
http://music.mercigod.com/play.php?songid=2557
Crucify my love . if my love is Blind
Crucify my love . if it's set me free
Never know Never Thrust
That's Love should see a colour
Crucify my love
if it should be the way
Swing the heartache
Feel it inside out
When the wind cried
I will say goodbye
Tried 2 learn tried 2 find
to reach out for e"TER"nity
Where's is the Answer
is this forever ..
Like a river falling to the sea
You'll be miles away
and i will know i can deal with the pain
No reason to cry
'till the loneliness shadow the sky
i'll be sailing down and i will know i know i can clear cloud away
Oh ! is it a crime
To Loveeee
ENDLESS RAIN
http://music.mercigod.com/play.php?songid=2556
I'm walking in the rain
yuku ate mo naku kizutsuita
karada nurashi karamitsuku
koori no zawameki
koroshi tsuzukete samayou itsu made mo
Until I can forget your love
nemuri wa mayaku tohou ni kureta
kokoro o shizuka ni tokasu
mai agaru ai o odorasete
furueru karada o kioku no bara ni tsutsumu
I keep my love for you to myself
* Endless rain, fall on my heart kokoro no kizu ni
Let me forget all of the hate, all of the sadness
(speek) Days of joy,
days of sadness slowly pass me by
As I try to hold you, you are vanishing before me
You're just an illusion When I'm awaken,
my tears have dried in the sand of sleep
I'm a rose blooming in the desert
It's a dream, I'm in love with you
madoromi dakishimete * repeat
I awake from my dream
I can't find my way without you
The dream is over
koe ni naranai kotoba o kurikaeshite mo
takasugiru hai iro no kabe wasugi satta hi no
omoi o yume ni utsusu
Until I can forget you love
Endless rain,
let me stay evermore in your heart
Let my heart take in your tears,
take in your memories
Tears Version พิณ!
Say Anything
Voiceless Screaming
Kurenai
SILENT JEALOUSY
Weekend
Forever Love In Last Live
Rose of pain
Dahlia
Scars
Rusty nail
UNFINISHED
Foreign Sand With Roger Taylor (Queen)
Rare X-Japan: "Light Breeze" Demo Tape

Yoshiki & Tetsuya Komuro วง Globe เพื่อนโยชิกิ - Eyes Of Venus (Live)
วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Seed Chart TOP 20
1 บทที่ 1 - จุ๋ย จุ๋ยส์
2 เพราะ - Baby Zitter
3 ขอร้อง - แดน วรเวช
4 ปล่อยตัวปล่อยใจ - Ruj The Star : Ruj
5 กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม - The Richman Toy
6 คนไม่เคยถูกรัก - ฟลุ๊ค The Star 5
7 เพลงนี้ - Concert VCDs : The S...
8 ฟุ้งซ่าน - Harem Belle
9 งดเศร้าเข้าพรรษา - Buddha Bless
10 กอด - Nos
11 เพื่อนกันวันสุดท้าย - พั้นช์
12 เนื้อคู่ - Karaoke DVD : Boy Pe...
13 I know u want me - Pitbull
14 Sexy Bad Girl - Concert VCDs : RS. K...
15 วีน - ตีน่า
16 เพื่อนกันฝันถึงทุกคืน - April foos' day
17 แลกทั้งใจแค่ได้รักเธอ - ดิว The Star 5
18 เร็กเก้โดเรมอน - Demo Crazy
19 คิดมาก - Venus Butterfly : Th...
20 เลิกกับฉันได้มั้ย - ขนมจีน