ads
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Seed Chart TOP 20
1 . บทที่ 1 จุ๋ย - จุ๋ยส์
2 . ขอร้อง - แดน วรเวช
3 . คนไม่เคยถูกรัก - ฟลุ๊ค The Star 5
4 . เพราะBaby - Zitter
5 . Ruj The Star : Ruj - ปล่อยตัวปล่อยใจ
6 . งดเศร้าเข้าพรรษา - Buddha Bless
7 . Boy Peacemaker - เนื้อคู่
8 . กอด - Nos
9 . Ready For Love - Ta Ta Young
10 . ฟุ้งซ่าน - Harem Belle
11 . วีน - ตีน่า
12 . กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม - The Richman Toy
13 . แลกทั้งใจแค่ได้รักเธอ - ดิว The Star 5
14 . เลิกกับฉันไ ด้มั้ย - ขนมจีน
15 . Sexy Bad Girl - feat. Ti-พายุ
16 . เพื่อนกันวันสุดท้าย - พั้นช์
17 . เพิ่งจะรู้ - Lazy Sunday
18 . เพลงนี้ - สิงโต The STAR 5
19 . I know u want me - Pitbull
20 . วันฝนพรำ - Basket Band
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เรน Rain
Rain's World ประวัติ เรน (Rain)
มาทำความรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขากันสักนิด กว่าจะเป็นนักร้องดังในวันนี้ !!
ชองจีฮุน มีชื่อที่ใช้ในการแสดงว่า พี(Bi) ซึ่งในภาษาเกาหลีแปลว่า "ฝน" ทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันในนามนักร้อง นักเต้นว่า เรน(Rain)
เรนมีความสามารถโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นบทบาทนักร้อง ซึ่งได้รับรางวัลทุกอัลบั้มแล้ว บทบาทแสดงนำจากซีรีส์เรื่องดัง Full House ที่ออกอากาศในบ้านเราเมื่อปีที่แล้ว จนดังเป็นพลุแตกไปทั่วเอเชีย
เรนเกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1982 สูง 184 cm. น้ำหนัก 74 kg. เลือดกรุ๊ป O ครอบครัวมีพ่อและน้องสาว 1 คน

เพียงลีลาการเต้นที่เร้าใจกับรูปร่าง สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบพร้อมโชว์ให้คนดูหลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับการแสดงได้ สิ่งเหล่านี้คงไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญที่ผลักดันให้หนุ่มเรนโด่งดังสุดๆได้มายืนแถวหน้าของเอเชียเท่านั้น ความคิดและวิธีการฝึกปฏิบัติบนเส้นทางชีวิตกว่าจะเป็นซุปเปอร์สตาร์ของเขาล้วนยากลำบาก แต่ความมานะอดทนและพยายามทำให้เขาได้มีวันนี้ เป็นรางวัลตอบแทนการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต ทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยวัยเพียง 24 ปี
ความโด่งดังของเขาไม่ได้หยุดอยู่ในประเทศเกาหลีใต้บ้านเกิดเท่านั้น เรนยังเป็นนักร้องเอเชียที่ไปเปิดคอนเสิร์ตไกลถึงฝั่งอเมริกา นับเป็นก้าวย่างที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
เรนได้เขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขา ในปี 2002 หลังจากที่ออกอัลบั้มชุดแรก เป็นเรื่องราวใน วัยเด็ก, วัยเรียน, ความหลงไหลในการเต้น, การเข้าสู่วงการครั้งแรกกับ JYP และความรักที่มีต่อแม่ของเขา

(1) วัยเด็ก
ผมยังไม่อยากจะเชื่อว่า ตอนนี้ผมได้เป็นนักร้องแล้ว บางครั้งเมื่อผมนั่งอยู่ท่ามกลางกองแผ่น CD ผลงานของตัวเอง ขณะที่เรากำลังจัดเตรียมการกับมันอยู่ ผมรู้สึกหัวใจพองโต มันช่างเป็นความสุขจริงๆ ที่คนฟังและรู้สึกชื่นชอบกับการที่ผมเต้นในสไตล์ของตัวเอง หลังจากเต้นและร้องเพลงของ Seotaeji and Boys and Deux ความฝันของผมกลายเป็นจริง

เมื่อตอนเด็กผมอาศัยอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยฮงอิก แม่ของผมเพิ่งจากไปเมื่อสองปีที่แล้ว และในตอนนั้นผมอยู่กับพ่อและน้องสาวซึ่งอ่อนกว่าผม 3 ปี (ผมเกิดในปี 1982 ชื่อจริงของผม คือ ชองจีฮุน) ความที่เป็นคนไม่ช่างพูด วันหนึ่งพูดกันแค่สองสามประโยคเท่านั้น
ผมเคยออกไปข้างนอกโดยไม่บอกใครๆ ตอนนั้นผมยังเด็ก เป็นเหตุการณ์ที่ผมจำได้ลางๆ ผมออกจากบ้านไปเมื่อตอนประมาณ 4 ขวบ ญาติของผมมักจะมาทำงานที่บ้าน แต่ในวันนั้นพวกเขาไม่พบผม พวกเขาโทรหาตำรวจที่สี่แยก แต่ไม่มีใครรู้เรื่องของผม ทุกคนวิตกมาก แต่หายังไงก็ไม่พบ
วันหนึ่งญาติโทรมาบอกว่าพบผมที่ สถานีรถประจำทางรถกังวาโด แถวบ้านที่เราอยู่ ผมคิดว่าผมคงจะขึ้นรถจากที่นี่ไป ที่กังวาโด พวกเขาเห็นหมายเลขติดต่อบนสายรัดข้อมือผมและโทรเรียกครอบครัวของผมให้มารับ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน จำได้ลางๆ ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่วยผมขึ้นรถ
(2) เริ่มค้นพบตัวเอง
ผมเป็นคนเคร่งขรึมตั้งแต่ตอนเด็กๆ อย่างไรตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น มันเป็นการยากมากที่ผมจะเป็นฝ่ายจะเริ่มต้นคบกับใคร แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมพูดและทำได้ดีมากจนตัวเองรู้สึกประหลาดใจ
เมื่อตอนอยู่ชั้นประถมผมเรียนไม่ค่อยเก่ง ความที่ไม่ค่อยพูดจากับใคร ผมก็เลยไม่มีแฟน ไม่มีใครมาสนใจหรือสังเกต เพื่อนๆในชั้นเรียนถ้าจะมีใครสังเกตเกี่ยวกับตัวผมก็คงจะเป็นความสูง เพราะผมมักจะยืนเป็นที่ 3 หรือที่ 4 ของคนที่สูงที่สุดในชั้น

ผมมักจะนั่งเงียบเสมอเมื่ออยู่ในชั้นเรียน แต่มีอยู่วันหนึ่งผมลุกขึ้นมาแสดงความสามารถเป็นตัวแทนของชั้นเพื่อเข้าแข่งขันของแต่ละโรงเรียนเมื่อตอนเรียนอยู่เกรด 6 และในชั้นของเราไม่มีคนสมัครเข้าแข่งขันเลย
ผมรู้สึกกระวนกระวายใจเลยบอกพวกเขาว่าผมจะเป็นตัวแทนในการเข้าแข่งขัน แต่คำตอบของเพื่อนๆ ในชั้นที่เห็นด้วยก็มีไม่มากนัก ผมได้ยินพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวผม จากนั้นผมก็ถามว่า "ทำไมพวกเขาถึงไม่แสดงแทนผมล่ะ"
ในที่สุดผมก็ได้กลับมาเป็นตัวแทนของชั้นเรียนด้วยความภาคภูมิใจ พวกเพื่อนๆ พากันมองมาที่ผม เมื่อดนตรีเริ่มขึ้น ผมบอกกับตัวเองว่าจะโชว์การเต้นเหมือนอย่างที่เห็นในทีวีหรือตามท้องถนน หัวสมองในขณะนั้นไม่คิดอะไรทั้งสิ้น นอกจากสองสิ่งนี้เท่านั้น
เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อการแสดงจบลง ผมรู้สึกถึงความสำเร็จเป็นครั้งแรกในชีวิต แล้วความคิดที่เกิดขึ้นในใจตอนนั้น มันบอกผมว่า "ใช่เลย มันคือการเต้นนั่นเอง!"
(3) ความเศร้าทำร้ายตัวเองให้ตกต่ำ
ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนซุงมุน ในขณะที่ใจผมร่ำร้องอยากจะเต้น คนอื่นๆเล่าว่า

ผมเป็นนักเรียนที่เกเร ไม่สนใจอะไร นอกจากการเต้น ผมชอบโดดเรียนไปกับรุ่นพี่ และไม่ใส่ใจการเรียนแม้ว่าเขาจะเอาเงินและเสื้อผ้าของผมไป เหตุผลเดียวที่ผมยอมพวกเขาเพียงเพื่อต้องการที่จะเรียนรู้ในการเต้นเท่านั้น
ครั้งหนึ่งเราถูกตำรวจจับไปที่โรงพัก ขณะนั้นเรากำลังฝึกซ้อมเต้นที่สวนสาธารณะใกล้กับมหาวิทยาลัยฮงอิก เพราะว่าเราไม่มีสถานที่จะฝึกซ้อม คนที่ผ่านมาแถวนั้น ต่างก็เห็นและพูดถึงนักเรียนเกเรที่โดดเรียน ตอนนั้นผมโกหกพ่อว่าผมไปห้องสมุด แต่จริงๆ แล้วผมไม่สนใจการเรียนเลย เพราะผมเต้นจนไม่มีเวลาจะเรียน ทำให้การเรียนแย่ลงไปเรื่อยๆ
ผลการสอบในเทอมแรกผมสอบได้ที่ 45
(4) "จะไม่ทำเลว" คำสัญญาที่ให้กับพ่อ
ถึงผมจะยังคบหากับพวกเด็กเกเรเพื่อที่จะเรียนรู้ในการเต้น แต่ผมก็ให้สัญญากับพ่อว่าผมจะไม่สูบบุหรี่หรือยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
ทีมเต้นของเราฝึกหนักและเข้าแข่งขันโดยไม่หวังรางวัล ทั้งที่ ลอตเต้ เวิลด์, จัมซิล และโซล ยืนยันความสามารถของเราได้เป็นอย่างดี ผมจำไม่ได้ว่าปีไหน เพียงอินบงเป็นตัวตลกในการแข่งขัน MC ชื่อทีมของเราคือ Challenger ผมเข้าแข่งขันกัน 4 คน ผมยืนอยู่ตรงกลาง เพราะตัวสูง
เราไม่ได้รับรางวัล รู้จากเพียงอินบงในภายหลังที่ผมเป็นนักร้องที่กังทาแล้ว ว่ามีนักร้องเข้าแข่งขันด้วย ผมเริ่มสนใจกีฬารักบี้ เมื่อตอนผมเรียนอยู่เกรด 12 ส่วนใหญ่พวกที่อยู่ชมรมรักบี้จะดูดีมากๆ ผมฝึกรักบี้กับโรงเรียนใกล้ๆ แต่ผมก็รู้สึกว่าไม่สามารถทำทั้งสองอย่างให้ดีได้ ผมจึงเลือกที่จะเต้น

ในที่สุดปีสุดท้ายของชีวิตมัธยมต้นก็มาถึง ผมเริ่มวิตกกังวลกับอนาคตของตัวเอง เพื่อนๆพากันไปห้องสมุด มีแต่ผมคนเดียวที่ทั้งเรียนทั้งเต้นในเวลาเดียวกัน ผมตัดสินใจมาเรียนการแสดง ผมไม่สนใจสาขาอื่น ผมต้องการเป็นนักแสดง ผมดูละครและจำมาฝึกซ้อมด้วยตัวเอง
(5) สอบเข้าโรงเรียนศิลปอันยางได้ด้วยความภาคภูมิใจ
เริ่มจากที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการแสดง ผมไปที่ร้านหนังสือ ซื้อทุกอย่างที่เกี่ยวกับการแสดง และอ่านมันทั้งหมดก่อนจะสอบเข้าที่โรงเรียนศิลปะอันยาง ผมต้องการแสดงความสามารถพิเศษในการเต้น ผมตัดสินใจเลือกเล่นละครใบ้ เพื่อให้ส่วนต่างๆของร่างกายบอกเล่าเรื่องราวซึ่งคนอื่นๆไม่ค่อยเห็นด้วย เขาพูดกันว่าการแสดงไม่ใช่ตัวตนของผม แต่ผมก็ฝึกซ้อมอย่างหนักและสอบผ่านเข้ามาได้ด้วยความภาคภูมิใจ

ทุกๆเช้าตอนผมไปโรงเรียน พอเปิดล็อคเกอร์จะมีของขวัญจากใครๆที่ผมก็ไม่รู้ ของขวัญส่วนมากจะเป็น นม ขนมเค้ก ดอกไม้และจดหมาย ผมรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้สานต่อความรู้สึกดีๆเหล่านั้น เพราะผมไม่มีเวลาเลย ผมเอาแต่ซ้อมเต้น ผมไม่เคยมีเวลาจะคิดเรื่องแฟน โดยเฉพาะช่วงปีแรกในฐานะน้องใหม่ ซึ่งผมพยายามเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองเรียนให้จบในด้านการแสดง
แต่ในระหว่างนั้นก่อนจบผมเริ่มเกลียดการแสดงในชั้นเรียนมาก ผมไม่สนใจเรียนและรู้สึกว่ามันไม่น่าสนใจอีกต่อไปแล้ว ช่วงนั้นผมไปโรงเรียนสายบ่อยมาก ผมจะไปเพียงร่วมประชุมในช่วงเช้าเท่านั้น และพลาดการฝึกซ้อมในชั้นเรียน
ช่วงนั้นผมมัวแต่หมกมุ่นในการฝึกเต้น และถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กเลว
(6) โดนครูตี
ตอนนี้ผมอยากจะเล่าถึงครูของผม เมื่อตอนที่ผมเรียนที่โรงเรียนศิลปอันยาง ผมทะเลาะกับครูเพราะเรื่องเต้น ผมหมกมุ่นกับการเต้นมากจนไม่เข้าร่วมประชุมทีมการแสดง นักเรียนรุ่นพี่เริ่มเกลียดผม พวกเขามาพบผมหลังโรงเรียนและรุมด่าว่าผม ผมไม่อยากถูกไล่ออกจากกลุ่ม ก็เลยตัดสินใจหันมามุ่งด้านการแสดงมากกว่าเต้น แต่มันก็ไม่ทำให้ผมเลิกล้มความอยากเต้นได้เลย
วันหนึ่งอยู่ๆ ผมก็ลุกขึ้น แล้ววิ่งออกไปนอกห้องเรียน ในวันถัดมาครูที่สอนผมเข้ามาตำหนิอย่างรุนแรง แล้วบอกให้ผมตีเขาไม่เช่นนั้นเขาจะตีคนอื่นๆด้วย ในหัวผมตอนนั้นความคิดขัดแย้งสับสนวุ่นวายมาก มีแต่พวกผู้หญิงในชั้นเท่านั้นที่ยังรู้สึกดีกับผม ในตอนนั้นผมคิดจะตอบโต้ครูจริงๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น
ก่อนเราจะจบการศึกษา เมื่อครูได้เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดว่าผมจะเกลียดเขาจริงๆ เขาชอบใช้วิธีแบบเดียวกันนี้กับคนอื่นๆที่โรงเรียน มันเป็นวิธีหลอกล่อเพื่อให้นักเรียน รู้สึกผิดส่วนมากมักจะพูดว่าเสียใจและก็ร้องไห้ แต่ก็จะมุ่งมั่นเอาชนะจนเรียนจบได้ในที่สุด
(7) โชคชะตาทำให้ได้พบกับ ปาร์คจินยอง
ในปี 2000 มีเหตุการณ์สำคัญๆ 2 เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต ผมได้พบกับปาร์คจินยองและเขาผลักดันให้ผมได้กลายมาเป็นนักร้อง กับเรื่องที่แม่ของผมได้เสียชีวิตจากผมไป

เรื่องแรกที่ผมจะเล่า คือว่า ผมพบกับปาร์คจินยองได้ยังไง ตอนนั้นผมมั่วสุมเต้นอยู่กับเพื่อนๆมัธยมปลาย ผมอาศัยอยู่กับพวกเขา ทำกับข้าว ล้างจาน ทำความสะอาด และเต้นไปด้วยที่คลับย่าน อีแตวอน ใกล้ๆมหาวิทยาลัยฮงอิก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมอยู่ในช่วงนั้น
ครอบครัวของผมลำบาก พ่อทำธุรกิจค้าขายแต่ก็ขาดทุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันหนึ่งเขาเขียนจดหมายทิ้งไว้บอกว่าจะเดินทางไปประเทศบราซิล และเมื่อตั้งตัวได้แล้วจะกลับมา ตอนนั้นแม่ของผมต้องทุกข์ทรมานจากโรคเบาหวานและยังต้องหาเลี้ยงครอบครัวไปด้วย ผมไม่เข้าใจแม่ว่าทำไมต้องทำงานทั้งที่สุขภาพไม่ดี ผมรู้สึกโง่เง่ามากเพราะไม่เคยนึกถึงใครนอกจากตัวเอง
ในเวลานั้นผมหมกมุ่นอยู่กับการเต้นมากพอๆกับเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับครอบครัวของตัวเอง วันหนึ่งผมตามเพื่อนไปทำงานกับพวกเด็กจรจัดที่ออฟฟิศซอมซ่อแห่งหนึ่ง อยู่ๆ ปาร์คจินยองก็เดินเข้ามา ห้องนั้นเป็นออฟฟิศของ ปาร์คจินยอง
เขาเห็นผม แล้วก็ถามว่า "ทำอะไรได้บ้าง?"
ผมตอบ "เต้น" แล้วเขาก็บอกให้ส่งวิดีโอที่ผมเต้นมาให้ดู
"ว้าว ปาร์คจินยอง โปรดิวเซอร์ จะฝึกให้ผมเป็นนักร้อง!!"
ผมมีความสุขมากในตอนนั้น หลังจากส่งเทปให้เขาไม่นานนักผมก็กลับมา
(8) ปาร์คจินยอง จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แม่
หลังจากที่ดูเทปแล้ว ปาร์คจินยอง ก็บอกผมว่า "มาทำอัลบั้มกันเถอะ"
เขาพอใจจะรับผมและฝึกสอนผมเอง ผมมีความสุขจริงๆ ผมฝึกเต้นและร้องเพลงอย่างหนัก
ขณะที่ผมกำลังมีความสุขที่จะได้เป็นนักร้องอย่างที่วาดฝันเอาไว้ แม่ของผมสุขภาพทรุดหนักโดยไม่รู้ตัว ตอนที่ผมยังเด็กแม่ก็ป่วยอยู่เสมอ แต่ผมก็ไม่ได้ตระหนักถึงสภาพครอบครัวในเวลานั้น พ่อของผมเดินทางไปโน่นไปนี่ ไม่มีใครดูแลแม่รวมทั้งตัวผมด้วย
ผมเริ่มคิดว่าเหลือผมคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวในตอนนั้น ผมจึงเล่าให้ปาร์คจินยองฟังทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับแม่ที่ต้องดูแล แล้วเขาก็พูดว่า
"เพื่อความ สบายใจของเธอ ฉันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เอง ไม่ต้องกังวล"

ผมรู้สึกซาบซึ้งมาก แม่ของผมเข้ารับการรักษา ตอนนั้นแม่ผมเป็นแผลพุพองขั้นรุนแรงทั่วทั้งตัวอยู่ก่อนแล้ว แต่คนที่โรงพยาบาลบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว ให้แม่กลับมาพักที่บ้าน ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกแน่นที่หน้าอก เมื่อผมนึกถึงวันนั้น แม่ของผมอาการทรุดหนักมากเรานำกลับมาที่โรงพยาบาลอีก ปาร์คจินยองและภรรยาของเขามาเฝ้าดูอาการแม่ของผมด้วย
(9) เต้นอย่างไรให้เป็นสไตล์ของตัวเอง
ถึงจะมีคนคอยช่วยเหลือ แม่ของผมก็ยังคงไม่ดีขึ้นและในที่สุดก็จากผมไป
แม่บอกกับผมก่อนเสียชีวิตว่า "ดูแลน้องสาวให้ดี" ผมสัญญากับแม่ด้วยหัวใจ
ผมเฝ้าบอกตัวเองมาตลอดว่า "ผมจะทำให้ดีที่สุด"
ผมยังคงเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงแม่ ผมอยากให้แม่ได้เห็นว่าผมประสบความสำเร็จในชีวิต ผมจะทำให้ดีที่สุด ถ้าแม่อยู่รออีกสักนิด......สภาพจิตใจผมแย่มาก ผมจะไม่ใส่ใจครอบครัวได้ยังไงถ้าผมมีชีวิตที่ดี

ผมฝึกซ้อมอย่างหนักหลังจากที่แม่จากไป บริษัทของเราทำวิดีโอเทป 12 นักเต้นเพลงโซล มีทักษะการเคลื่อนไหว 9 ขั้นตอน ผมฝึกจนเหนื่อย ปาร์คจินยองก็ยุ่งมาก เขาไปที่สตูดิโอเพื่อดูและสอนผม แต่เขาก็ไม่เคยพูดชมผมเลยสักครั้ง
จนถึงวันนี้ เขามักจะพูดว่า "อยากให้งานดี หรือ อยากมีชื่อเสียง"
ตั้งแต่วันนั้นที่ผ่านมา เขามักจะกดดันผม เขาชอบพูดว่า "จะเต้นยังไงให้เป็นสไตล์ของตัวเอง"
บางทีก็ว่า "มันไม่เวิร์ก"
นั่นเป็นวิธีที่เขาสอนผม เมื่อเขาต้องหยุดสอนผม เพราะต้องเดินทางไปบันทึกเสียงที่อเมริกา ผมต้องต่อสู้กับความเหงา ผมอยู่ที่สตูดิโอจนกระทั่งทุกคนกลับบ้าน แล้วผมก็คิดท่าเต้นและฝึกซ้อมในตอนนั้น ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเศร้าใจจริงๆ ผมใช้วิธีร้องเพลงและเต้นบนรถไฟใต้ดินและบนรถเมล์
(10) ต่อสู้กับความโดดเดี่ยว
ผมรู้สึกท้อแท้และอ่อนล้าที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นผมจึงฝึกซ้อมอย่างบ้าคลั่งด้วยการร้องตะโกนเสียงดังและเต้นไปทั่วตามถนนตลอดเส้นทางไปสตูดิโอและทางกลับบ้าน คิดท่าเต้นต่างๆให้เข้ากับเพลงที่ร้อง ไม่ว่าจะอยู่บนรถไฟใต้ดิน รถเมล์ หรือที่โล่งแจ้งอื่นๆ คล้ายกับคนบ้า
ผมรู้สึกว่ามันไม่ง่ายกว่าจะได้เป็นนักร้อง
หลังจากที่ปาร์คจินยองไปเป็นโปรดิวเซอร์ที่อเมริกา ผมก็ทนทุกข์กับความเหงาและต้องอยู่ตัวคนเดียวฝึกอย่างโดดเดี่ยวจนปาร์คจินยองกลับจากอเมริกาหลังจากงานโปรดิวเซอร์ของเขาเสร็จ สมบูรณ์ ผมคิดว่าตัวเองจะได้ทำอัลบั้มออกมาเสียที แต่ปาร์คจินยองบอกกับผมว่า อัลบั้มของเขาจะต้องออกก่อนเพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาเหมาะสม ดังนั้นอัลบั้มชุดแรกของผมต้องเลื่อนไปเดือนสิงหาคม ผมต้องคิดท่าเต้นประกอบด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่การเต้นทั้งหมดในการร้องของผม แต่มันก็มาก

ผมทำงานเป็นแดนเซอร์ของปาร์คจินยอง ถึงจะเป็นประสบการณ์ที่ดีบนเวที แต่การต้องไปทุกๆ ที่กับปาร์คจินยองทุกวันเพื่อฝึกฝนมันยากมากๆ ขณะที่ปาร์คจินยองและผู้จัดการที่ดูแลได้หยุดพักผ่อน ผมยังคงต้องฝึกโดยไม่ได้หยุดพัก ผมต้องร้องเพลงโดยอัตโนมัติ เมื่อไรก็ตามที่ปาร์คจินยองโบกมือของเขาและจะร้องซ้ำเพลงเดิมๆ หลาย ๆ ครั้ง เป็นพันๆครั้งในวันหนึ่ง ผมถูกตีหัวเพราะร้องผิดโน้ตซ้ำๆ ตีที่หัวฟังดูเหมือนไม่รุนแรงอะไร แต่การตีที่จุดเดิมๆบ่อยๆ มันทำให้เจ็บไม่น้อยทีเดียว
(11) อัลบั้มของผมต้องล่าช้าออกไปอีก
ตอนที่ผมเต้นให้ปาร์คจินยอง ผมคิดและร้องอยู่คนเดียวเป็นพันๆ ครั้งเรื่องอัลบั้มเพลงของตัวเอง ขณะนั่งอยู่ในรถคนอื่นๆ จะหลับและพักผ่อน แต่ผมก็ยังคงร้องเพลงไม่หยุด เมื่อปาร์คจินยองโบกมือให้ ผมฝึกฝนเฝ้ารอให้ถึงเดือนสิงหาคม เพื่ออัลบั้มของผมจะได้ออกเสียที
พอเดือนสิงหาคมมาถึง แผนงานก็ถูกเปลี่ยนแปลงอีก มันเป็นการออกอัลบั้มของปาร์คจินยองต่างหาก เนื่องจากเขาเป็นผู้จัดการบริษัท อัลบั้มของผมถูกเลื่อนไปเดือนพฤศจิกายนแทน ผมเริ่มกระวนกระวายใจ กับเหตุการณ์ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
หลังจากออกอัลบั้มเสร็จ ปาร์คจินยองก็ไปอเมริกาอีกครั้ง ผมยังคงฝึกร้องเพลง ไม่มีอะไรนอกจากต้องรอไปก่อน ผมรู้สึกเลื่อนลอยเคว้งคว้าง กลัวว่าไม่ได้ออกอัลบั้มของตัวเองหลังจากที่เตรียมตัวมาอย่างหนักถึง 2 ปี ซึ่งผมมีประสบการณ์ในการเต้นร้องเพลงมากขึ้นทีเดียว

พอปาร์คจินยองกลับมาเกาหลี ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของปีนั้น เขาบอกว่า ถึงเวลาออกอัลบั้มของผมได้แล้ว เราบันทึกเสียงประมาณหนึ่งเดือนกว่า การบันทึกเสียงใช้เวลาไม่นาน เพราะเพลงทั้งหมดทำเสร็จนานแล้ว
ท้ายที่สุดผมได้ขึ้นเวทีครั้งแรกวันที่ 28 เมษายน ผมอยากแสดงออกทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมฝึกมานานทั้งร้องเพลงและเต้นแต่มันก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรและไม่ค่อยถูกแบบแผนนัก แต่ผมก็ไม่ขืนตัวเอง ยังคงปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระ
ผมเฝ้าบอกตัวเองว่ามันคงจะต้องจบ ถ้าผมไม่ทำในช่วงเวลานี้ให้ดีที่สุด
รู้ไหมครับพวกคนดูจ้องจนตาค้างไปเลย และผมก็ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง
(12) ผมอยากเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ที่เก่ง
ความคิดต่างๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนที่จะเป็นนักร้อง
"ทำไมคุณไม่ร้องเพลงตลอดไปล่ะ?"
หลังจากฝึกร้องเพลงอย่างหนัก ผมมั่นใจว่าสามารถเป็นนักร้องอาชีพได้ แต่ผมก็ยังไม่มีประสบการณ์มากพอสำหรับการเป็นนักร้องหน้าใหม่ ผมเคยลิปซิงค์บนเวทีบ้างแต่ก็ไม่บ่อย
ผมมาเลิกวิตกกังวลเมื่อตอนได้ไปร้องเพลงที่ MBC TV ช่วงปลายเดือนมิถุนายน ผู้คนต่างชื่นชมผมว่านอกจากจะเต้นได้ดีแล้วยังร้องเพลงได้ดีอีกด้วย พวกเขาประหลาดใจที่คนอื่นๆต่างพากันปรบมือหลังจากผมร้องเพลงจบ เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้
มันเป็นความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของผมในการเป็นนักร้องอาชีพ สามเดือนตั้งแต่ออกอัลบั้มผมได้รับความสำเร็จท่ามกลางแฟนๆ ที่ให้กำลังใจ ผมยังคงทำงานหนักอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เร็วๆ นี้ ผมมีจะการแสดงใหม่ๆ กับบทบาทที่ท้าทาย ผมจะได้เล่นละครตลกซิทคอมและผมคิดว่าการแสดงมันน่าสนใจมาก ผมต้องการแสดงความสามารถในทุกๆ ด้าน

เมื่อร้องเพลง เต้น และแสดงได้ดีแล้ว หลังจากนั้นผมอยากจะเป็นดีไซเนอร์ออกแบบแฟชั่น ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมในตอนนี้ คือการประสบความสำเร็จในการเป็นนักร้องภายใน 10 ปี และหลังจากนั้นผมจะเริ่มศึกษาด้านการออกแบบ
20 ปีต่อจากนี้ไป ผมอยากได้รับการยอมรับในฐานะดีไซเนอร์ด้วย ผมขอขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องราวนี้ครับ
เรนกล่าวไว้ว่า "ถ้าไม่พยายาม ไม่อดทน และไม่ถ่อมตัว ชีวิตก็จะไม่ประสบความสำเร็จ"
ไม่ว่าหนทางนั้นจะสินสุดลงอย่างไร ถึงวันนี้ "เรน" ชองจีฮุน สายฝนเลือดเกาหลีคนนี้ ยังคงซัดสาดในวงการธุรกิจบันเทิงให้ขับเคลื่อนต่อไป.^^

เพลง I Do (Rain)
http://www.pingbook.com/mv/listen.php?id=34&song_id=693&listen=normalasx
ขอขอบคุณ: http://club.truelife.com/ ที่มาของข้อมูล โดยโดย 0000(atthita)
7 หนุ่ม 2PM
กว่าจะเป็น 7 หนุ่ม 2PM
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เรียกได้ว่ากระแสความดังของศิลปินชายกลุ่มใหม่ ที่มาพร้อมกับท่าเต้นผาดโผนนามว่า “2PM” ไม่หยุดอยู่ที่เกาหลีเท่านั้น เพราะพวกเขาข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาขโมยหัวใจสาวๆ ถึงประเทศไทยเลยทีเดียว หลังจากออกซิงเกิ้ลอัลบั้ม Hottest Time of the Day และทันทีที่โมเดิร์นไนน์ทีวี หยิบเอารายการ “Hot Blood Guys ปฏิบัติการหนุ่มล่าฝัน” มาออกอากาศต้อนรับปีใหม่ ก็เรียกกระแสความนิยมเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะเป็นรายการคล้ายๆ กับเรียลลิตี้โชว์ บอกเล่าเรื่องราวของ “2PM” ว่ากว่าจะมาเป็นศิลปินคุณภาพ และได้ออกอัลบั้มนั้นมีที่มาอย่างไร
งาน นี้ทำเอาสาวๆ ติดตามเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ไม่ไปไหน พร้อมๆ กับอยากรู้จัก 7 หนุ่ม 2PM ให้มากขึ้น วันนี้กระปุกดอทคอมไม่รอช้า รีบทำตามคำเรียกร้อง พาเพื่อนๆ ไปเจาะลึกประวัติ “2PM” กันค่ะ…
“2PM” เป็นวงน้องใหม่แกะกล่อง ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในแดนกิมจิ แต่กว่าที่พวกเขาจะก้าวเข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิงได้นั้น ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก โดยพวกเขาได้รับคัดเลือกเข้ามาเป็น 1 ใน 13 คน ที่ผ่านการออดิชั่นมาจากทั่วประเทศ จากนั้นก็ต้องเข้าคอร์สฝึกอบรมทั้งการร้อง เล่น เต้น
ซึ่ง หลังจากผ่านการฝึกฝนอันเข้มข้นก็ใช่ว่าทั้ง 13 คน จะได้ผ่านเข้ามาในวงการบันเทิง เพราะต้องถูกคัดออกไปอีก 2 คน ให้เหลือเพียง 11 คน ซึ่ง 4 คน ที่เชี่ยวชาญในด้านเพลงจะถูกส่งไปเดบิวในชื่อ “2AM” ส่วนอีก 7 คนเชี่ยวชาญในด้านการเต้น ก็จะได้เดบิวในชื่อวง “2PM” ซึ่งสมาชิก 7 คนของ “2PM” ประกอบด้วย…
ชื่อ – สกุล : Park Jaebeom
วันเกิด : 25 เมษายน 1987 (พ.ศ. 2530)
ตำแหน่ง : Rapper, นักร้อง
ภาษา : อังกฤษ / จีน
การศึกษา : Dankook University
น้ำหนัก : 55 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 175 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Kim Junsu
วันเกิด : 15 มกราคม 1988 (พ.ศ. 2531)
ตำแหน่ง : นักร้อง
ภาษา : จีน / อังกฤษ
การศึกษา : Donga School for the Arts
น้ำหนัก : 73 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 178 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Ok Tae Cyeon
วันเกิด : 27 ธันวาคม 1988 (พ.ศ. 2531)
ตำแหน่ง : Rapper, นักร้อง, นายแบบ
ภาษา : จีน / อังกฤษ
การศึกษา : Dankook University
น้ำหนัก : 76 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 185 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Nichkhun Horvejkul (คุณ - นิชคุณ หรเวชกุล หนุ่มน้อยหน้าใสจากประเทศไทย)
เกิด : 24 มิถุนายน 1988 (พ.ศ. 2531)
ตำแหน่ง : นักร้อง, นายแบบ, นักแสดง
ภาษา : เกาหลี / จีน / อังกฤษ / ไทย
การศึกษา : Los Osos High School (USA)
น้ำหนัก : 61 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 181 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Jang Wooyoung
วันเกิด : 30 เมษายน 1989 (พ.ศ. 2532)
ตำแหน่ง : นักร้อง
ภาษา : จีน
การศึกษา : Seoul School for the Arts (Dance Major)
น้ำหนัก : 65 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 178 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Lee Junho
วันเกิด : 25 มกราคม 1990 (พ.ศ. 2533)
ตำแหน่ง : นักร้อง
ภาษา : จีน
การศึกษา : Ho Won University (Program acting Major)
น้ำหนัก : 64 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 178 เซนติเมตร

ชื่อ – สกุล : Hwang Chansung
วันเกิด : 11 กุมภาพันธ์ 1990 (พ.ศ. 2532)
ตำแหน่ง : นักร้อง, นายแบบ, นักแสดง
ภาษา : จีน
น้ำหนัก : 72 กิโลกรัม
ส่วนสูง : 182 เซนติเมตร
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พวกเขาจะสามารถผ่านการออดิชั่นมาได้แล้ว แต่พวกเขาก็ต้องฝึกฝนทักษะด้านการเต้นที่หนักขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแบบบีบอย หรือแบบอาโครบาติก (ผาดโผน) เพราะ JYP Entertainment ต้นสังกัด ต้องการคนที่เชี่ยวชาญในด้านการเต้นอย่างแท้จริง โดยทำการเปิดตัวในรายการ Hot Blood Man ทางช่อง Mnet จนได้รับเสียงกรี๊ดและกระแสตอบรับอย่างท่วมท้น อาจเป็นเพราะหน้าตาใสๆ หล่อๆ และประโยคเด็ดๆ ที่ว่า … ถ้าผมไม่สามารถทำวงบอยแบนด์วงใหม่ ให้แตกต่างจากบอยแบนด์ทั่วไปในยุคนี้ได้ ผมคงจะไม่เปิดตัวออกมาอย่างแน่นอน! … บวกกับความสามารถด้านการเต้นที่ขนมาเอาใจแฟนเพลง ทำให้พวกเขากลายเป็นขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ได้ไม่ยาก
สำหรับรายการ “Hot Blood Guys ปฏิบัติการหนุ่มล่าฝัน” มีความยาวทั้งหมด 8 ตอน ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 10.00 - 11.00 น. ทางช่อง 9 เริ่มเทปแรกวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป โดย คุณ - นิชคุณ สมาชิก 2PM พูดถึง “Hot Blood Guys ปฏิบัติการหนุ่มล่าฝัน” ว่า ตอนแรกทีมงานก็ประชุมกันว่าจะทำรายการที่ไม่เหมือนใครครับ โดยจะมีภารกิจที่จัดขึ้นมาโดยไม่บอกให้พวกเรารู้ก่อน ตอนแรกก็บอกว่าพรุ่งนี้ต้องรีบตื่น เพราะจะพาไปตกปลาที่เกาะ แต่ที่ไหนได้ พอเช้ามืดมีเสียงนกหวีดดัง แล้วมีทหารเอาเสื้อผ้ามาให้ใส่ แล้วออกไปฝึก ไปวิดพื้นอะไรแบบนี้ครับ เหนื่อยมากๆ
“คือ จริงๆ แล้วจุดประสงค์ของรายการนี้คือ อยากจะให้พวกเรารักกันครับ เพราะมีคนเคยบอกว่าถ้าคนเหนื่อยสุดๆ แล้วจะแสดงธาตุแท้ออกมาใช่ไหมครับ นั่นแหละครับเลยเป็นที่มาของภารกิจโหดนั้น แต่ทางพี่ๆ ทีมงานก็บอกว่าเวลาเหนื่อยอย่าคิดถึงตัวเองครับ ให้คิดถึงเพื่อนๆ ในกลุ่ม เพื่อจะได้รักกันมากๆ สามัคคีกันเพื่อวันข้างหน้าครับ ส่วนประสบการณ์ที่จำไม่ลืมคือ ตอนที่ต้องคัดสมาชิกออก พวกเราเศร้ากันมากเลยครับ ตอนนั้นพอต้องรู้ว่ามี 3 คนที่ต้องออก แล้วทีมงานบอกพวกเขาต้องกลับบ้านไปเลย ไม่ได้เจอกันอีก ไม่ได้เป็นศิลปิน เศร้ากันมากครับ” นิชคุณ กล่าว
ขณะเดียวกัน แฟนๆ ของ 2PM ก็เตรียมตัวเตรียมใจและเตียมเสียงกรี๊ดให้ดี เพราะ 2PM จะควง 5 สาวน้อยมหัศจรรย์ “Wonder Girls” มาเปิดการแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทย ใช้ชื่อว่า “Wonder Girls live in Bangkok & 2PM Guest” ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ บัตรคอนเสิร์ตราคา 700, 1500, 2000 บาท เปิดขายบัตรอย่างเป็นทางการที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ตั้งแต่ วันที่ 9 มกราคม 2552 เป็นต้นไป
วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Dream theater
Prog Rock ที่ยิ่งใหญ่ของโลก
เมื่อ กันยายน ปี 1986 เป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นในการก่อตั้งวง มือกีตาร์ John Petrucci และเพื่อนมือเบสของเขา John Myung โดยทั้ง 2 เรียนอยู่ด้วยกันที่ โรงเรียนดนตรี Berklee ใน Boston ทั้ง 2 คนก็กำลังหาสมาชิกอื่นๆ เพื่อก่อตั้งวงเพื่อเล่นในยามว่าง ต่อมาพวกเขาทั้ง 2 ก็ได้มาเจอกับมือกลอง Mike Portnoy ในห้องฝึกซ้อมห้องหนึ่งใน Berklee โดยบังเอิญ ต่อมาหลังจากได้พูดคุยตกลงกันพวกเขาทั้ง 3 ก็ตัดสินใจที่จะตั้งวงเพื่อเล่นดนตรีกัน โดยพวกเขาได้ติดต่อเพื่อนสมัยโรงเรียนมัธยม Kevin Moore เพื่อเล่นคีย์บอร์ด และนักร้องชื่อ Chris Collins เพื่อให้วงสมบูรณ์ โดยในขณะนั้นรู้จักกันดีในนาม Majesty
วงในขณะนั้นได้เล่นแจมกันในเวลาว่างและได้อัดเสียงเป็น demo มีทั้งหมด 8 เพลง เพื่อ ขายไปยังคนฟังแถบนั้น ซึ่ง Demo มีชื่อว่า 'Majesty Demos' โดนสามารถขายได้ 1000 แผ่นภายใน 6 เดือนแรก เป็นที่น่าทึ่งมากที่เดโมยังคงจำหน่ายได้ และยังคงสามารถมีให้เห็นในปัจจุบัน
ต่อมาเดือนพฤศจิกายน Chris Collins ก็ได้ออกจากวง ทำให้มีความจำเป็นในการหานักร้องคนใหม่ โดยที่วงยังคงแต่งเพลงและอัดเดโมต่อไป โดยเพลงบรรเลงของวงบางเพลงก็เริ่มคิดได้ ณ ช่วงเวลานั้นอีกด้วย
ในที่สุดเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 1987 วงก็ได้มีนักร้องคนใหม่คือ Charlie Dominici ด้วยความกระตือรือล้นในการจำหน่ายเดโมอย่างเป็นมืออาชีพมากขึ้นทำให้เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Mechanic Records และก็เริ่มทำอัลบั้ม “ When Dream and Day Unite”
เป็นที่น่าโชคร้าย ก่อนที่พวกเขาจะทำงานเพลงต่อไป ชื่อวงของพวกเขาได้ไปซ้ำกับวงจาก Las Vegas วงหนึ่งชื่อ Majesty เหมือนกัน ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนชื่อวงใหม่ ชื่อใหม่ของวงได้ถูกตั้งขึ้นใหม่โดย Howard Portnoy ซึ่งเป็นพ่อของ Mike Portnoy โดยเขาแนะนำว่าให้ใช้ชื่อว่า Dream Theater ซึ่งเป็นชื่อโรงภาพยนต์หนึ่งในรัฐ California ที่ถูกรื้อไปแล้ว
ต่อมาอัลบั้ม “ When Dream and Day Unite” ได้บันทึกเสียงเสร็จและจำหน่ายไปยังคนฟัง progressive rock โดยได้รับความสนใจบ้างจากหมู่คนฟัง progressive rock แต่เป็นที่น่าโชคร้ายที่วงถูกยับยั้งไม่ไห้เล่นในคลับและบาร์ เนื่องจากค่าย Mechanic ขาดแคลนเงินทุนในการเตรียมการออกทัวร์ของวง
เมื่อออกจากค่าย Mechanic ทำให้ Charlie Dominici ต้องออกจากวง จึงทำให้ต้องหานักร้องคนใหม่มาแทน ซึ่งต่อมา Chris Cintron, John Arch, Steve Stone และ John Hendricks และคนอื่นๆอีกมาก ได้รับการ audition แต่ก็ได้ถูกปฏิเสธไปทุกราย จนในที่สุดปลายปี 1991 ได้มีเทปม้วนหนึ่งจาก Canada ซึ่งเป็นนักร้องจากวง Winter Rose ชื่อว่า Kevin LaBrie ทำให้วงต้องเรียกเขามาที่ New York เพื่อการ audition โดยเขาได้ร้องเพลง To Live Forever, Learning to Live และ Take the Time และวงจึงตัดสินใจรับเขาเข้ามาเป็นนักร้องของ วงท่ามกลางผู้ที่มาสมัครกว่า 200 คน
เพราะสมาชิกในวงที่มีชื่อ John 2 คนและ 1 Kevin ที่มีอยู่แล้ว ทำให้ LaBrie ต้องใช้ชื่อกลางของเขาคือ James มาเป็นชื่อแรกของเขาเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในวง
ต่อมา Dream Theater ได้เซ็นสัญญากับค่าย ATCO Atlantic (ซึ่งตอนนี้เป็น EastWest) เพื่อบันทึกเสียงอัลบั้ม “Images and Words” ซึ่งเป็นงานเพลงแนว prog ชิ้นโบแดงแห่งปี 1990 โดยมี mv ออกมา 3 เพลงคือ Pull Me Under, Time, และ Another Day
โดยสถานีวิทยุได้เปิดเพลง Pull Me Under บ่อย จนทำให้อัลบั้ม Images and Words สามารถจำหน่ายได้มาก และนี้เองที่ทำให้แฟนเพลงแนว prog ทั่วทั้งอเมริกา ได้กลายเป้นแฟนเพลงตัวจริงของวงในที่สุด จึงต้องทำให้ค่าย ATCO ได้ตัดสินใจออกอัลบั้มและวิดีโอบันทึกการแสดงสด.
“Live at the Marquee” ได้ถูกบันทึกเสียงใน Marquee Club ที่ London และ Live in Tokyo ก็ถูกบันทึกใน Tokyo และระหว่างการทัวร์ปี 1993 อีกทั้งทางวงก็มี bootleg การแสดงของวงรอบโลกอีกด้วย
ต่อมาหลังจากการออกทัวร์ วงก็เริ่มที่จะทำอัลบั้มที่ 3 ต่อไปในเดือนพฤษภาคมปี 1994 ชื่ออัลบั้มว่า “Awake” และบันทึกเสียงเสร็จเมื่อเดือนกรกฎาคม แต่ก่อนได้ mix เสียงเสร็จ Kevin Moore ก็ขอลาออกจากวงเพื่อไปทำอัลบั้มตัวเองต่อไป
เพื่อให้การทัวร์ The Waking Up The World tour ได้ดำเนินต่อไป วงก็ได้จ้างให้ Derek Sherinian มาเล่นคีย์บอร์ดชั่วคราวไปก่อนที่จะหา มือคีย์บอร์ดมาแทน Kevin ทางวงสนใจในตัว Jordan Rudess แต่เขาก็ได้รับงาน ของวง Dixie Dregs ไปก่อนแล้ว จึงได้มีมือคีย์บอร์ดคนอื่นมา audition เช่น Jens Johansson (วง Stratovarius) แต่ก็ได้ถูกปฏิเสธไป และในที่สุดวงจึงตัดสินใจให้ Derek Sherinian เป็นมือคีย์บอร์ดของวงเต็มตัว
ในเดือนเมษายน ปี 1995 วงก็ได้ไป BearTracks Studios เพื่อบันทึกเสียงเพลงมหากาพย์ยาว กว่า 23 นาที A Change of Seasons ที่ได้แต่งโดยดั้งเดิมเมื่อปี 1989 เพลงนี้ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างของเพลงอีกด้วย โดยที่ Derek Sherinian ได้มีส่วนในการแต่งช่วงคีย์บอร์ดในเพลง ในที่สุดเมื่อ 19 กันยายน 1995 อัลบั้ม “A Change of Seasons” ก็ได้ออกวางจำหน่าย โดยได้รับความสนใจจากแฟนๆได้อย่างดี
ต่อมาพวกเขาก็ได้เริ่มบันทึกเสียงอัลบั้ม “Falling Into Infinity” ซึ่งอัลบั้มนี้แต่เดิมมี 2 cd แต่น่าเสียดายที่ค่าย Elektra ไม่อนุญาตให้ออก cd คู่ จึงทำออกมาเพียงแค่ 1
หลังจากการออกทัวร์ของ Into Infinity world tour วง Dream Theater จึงหยุดพัก เพื่อสมาชิกในวงได้มีโอกาสได้ทำงาน side project ของตนเอง เช่น
John Petrucci และ Mike ตั้งวง Liquid Tension Experiment โดยมี Jordan Rudess และ Tony Levin มาร่วมเล่นด้วย นอกจากนั้น John Patitucci ยังมีโปรเจคเป็นมือกีตาร์ใน Explorer's Club ของ Trent Gardner ส่วน Derek ก็มีโซโล่อัลบั้มของตัวเอง, James เป็นนักร้องและศิลปินรับเชิญในอัลบั้มที่ 3 ของวง Shadow Gallery
John Myung และ Derek Sherinian ยังได้เล่นร่วมกับวง King's X ซึ่งมี Ty Tabor เป็นนักร้อง และ John Myung ยังมี side-project กับวง Platypus อัลบั้ม “When Pus Comes To Shove“ เมื่อปี 1998 อีกด้วย
และในระหว่างการทำ Side-project ของแต่ละคนนั้น ทางวงได้หาช่องทางในการออก live 2CD และ video ที่มีชื่อว่า “Once in a LIVE time” ซึ่งได้รับการบันทึกเสียงกว่า 2 คืนในยุโรป ซึ่งวีดีโอประกอบไปด้วย live shows, การทำงานใน studio และคำวิจารณ์ต่างๆของ Mike Portnoy
ต่อมาปี 1999 ก็มีข่าวออกมาว่า Derek ได้ออกจากวง และได้ Jordan Rudess เข้ามาแทน ส่วน Derek ก็ได้ไปทำงาน solo albums และวง Planet X ต่อไป ในช่วงเวลานั้น Kevin Moore อดีตมือคีบอร์ดคนแรกก็ได้ออกอัลบั้มที่ชื่อว่า Chroma Key project ด้วย และ James LaBrie นับเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของวงที่ไม่มี side-project จนกระทั้งถึงต้นปี 1999 เมื่อเขาได้ทำงานใน MullMuzzler project ของ Matt Guillory และ Mike Mangini ซึ่งก็ได้รับความสนับสนุนอย่างดีจากคนฟังเพลงแนว prog(progressive)
ต่อมาค่าย Elektra ได้ให้อิสระแก่วง Dream Theater เต็มที่ในการสร้างสรรค์งานอย่างอิสระในการทำอัลบั้มต่อไป ผลก็คือเป็นหนึ่งในอัลบั้มตำนานของแนว prog rock ตลอดกาลคืออัลบั้มมหากาพย์ “Scenes From A Memory” ความยาว 77 นาที ที่ออกมาเมื่อปลายปี 1999 ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็น concept album ที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่วง Queensryche ทำอัลบั้ม Operation: Mindcrime และต่อมาก็ได้ออก DVD บันทึกการแสดงสดเป็นครั้งแรกด้วย
ซึ่ง Metropolis 2000- live from New York เป็นบันทึกการแสดงสดที่แฟนเพลงต่างรอคอย และเพื่อเป็นเป็นของขวัญสำหรับผู้ที่ไม่มี DVD Mike ตัดสินใจที่จะออก CD live album 3 แผ่นจาก Metropolis 2000 concert และครั้งนี้ก็เป้นการออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสดที่ไม่ราบรื่นเพราะอัลบั้มนี้ออกเมื่อ 11 ธันวาคม 2001 ที่ตรงกับช่วงวันแห่งโศกนาฏกรรมตึก World Trade Center ถล่ม ซึ่งนับว่าเป้นความบังเอิญอย่างมากในการออกแบบภาพปกของซีดี เนื่องจากหน้าปก มีรูปแอปเปิ้ลเผาไฟ ที่ดัดแปลงมาจากรูปหัวใจเผาไฟจากอัลบั้ม images and words กับโครงสร้างอาคารในกรุง New York ท่ามกลางเปลวไฟ
ต่อมาทางวงก็พยายามที่จะบันทึกเสียงอัลบั้ม ที่ 6 ของพวกเขาต่อไป ซึ่งมีทีมงานที่เคยทำในชุด Image and Word ด้วย โดยที่ Mike Portnoy และ John Petrucci เป็น producer โดยวงพยายามสร้างสรรค์งานมหากาฟย์อีกครั้ง
อัลบั้ม “Six Degrees of Inner Turbulence” เป็น concept album คู่ (2-CD studio album) ที่ออกเมื่อเดือน มกราคมปี 2002 และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากแฟนเพลง ซึ่ง Disc #1 ประกอบไปด้วยความยาวกว่า 50 นาที และ Disc #2 ประกอบไปด้วยความยาวกว่า 42 นาที ซึ่งอัลบั้มนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสมควรน่ายกย่องเพียงใด
และในปัจจุบันนี้ Dream Theater ก็ได้ออกอัลบั้มที่มีชื่อว่า “Train of thought” และออก DVD คู่ บันทึกการแสดงสด Live at budokan และ3 CD บันทึกการแสดงสดอีกด้วย
นักดนตรีแต่ละคนยังมีโปรเจคและโซโล่อัลบั้ม ที่อัพเดต ต่างๆมากมาย สามารถติดตามได้ที่ เว็บของวงได้ที่ www.dreamtheater.net
Harem Belle
ประวัติ Harem Belle
Harem แปลว่า สถานที่ที่มีผู้หญิงมากมายที่พร้อมจะพลีกายให้คุณ (แต่สำหรับพวกเราหมายถึงดนตรีที่สวยงาม)
Belle แปลว่า สาวงาม
แล้วมาเป็น ::: Harem Belle ::: ได้ยังไง
แอ๊ป, ตี๋ และ ไม ได้ฟอร์มวงขึ้นมาเมื่อ ปี 2544 เพื่อเล่น กันสนุก ๆ ชื่อ “Gender” ต่อมาได้ยุบวงไป หลังจากนั้น ไม่นาน ก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ...ในตอนนั้น ตี๋ และ ไม ได้พา แบงค์ มือเบส เข้ามาประจำตำแหน่งเพิ่มอีก 1 คน เพื่อมาแบ่งเบาภาระ จาก แอ๊ป จะได้สามารถ ร้องได้เต็มที่ขึ้น และเปลี่ยนชื่อวงเป็น “ Dissolution Parasite” หลังจากนั้นก็มีค่ายเพลง ( ไม่ขอเอ่ยนามบริษัท ) มาให้ความสนใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่เท่าไหร่ ทางวงเริ่มรู้สึกถึงแนวเพลงของตัวเองที่กำลังจะเปลี่ยนไปตามกระแสของค่ายเพลงนั้น จึงรีบถอนตัวออกมา
เหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น เมื่อ แบงค์ มือเบส ได้ขอลาออกโดยในขณะนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุ แต่ ไม มือกลอง ได้คาดการณ์ว่า น่าจะเกิดจาก “รับความกวนTEEN” จากเพื่อนร่วมวง ไม่ไหว หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน ทางวงจึงตกลง กันว่าควรจะ เอา ตี้ ซึ่งเป็นลูกพี่ ลูกน้อง กับตี๋ มาประจำเป็นมือเบส แทน ขณะที่ทาง ตี้ เองก็เพิ่งเดินออกจากวง ตัวเองอย่างเป็นทางการ จากนั้นทางวงได้เปลี่ยนชื่อเป็น Harem Belle มาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเกือบ 2 ปีก่อน (พ.ศ.2545) ยังเป็นวงที่เล่นเพลง cover ตามงานใต้ดินต่างๆ ทั่วไปธรรมดาๆ ในช่วงแรกไม่รู้จักใครเลยในวงการนี้ แต่ด้วยความอยากเล่นจึงไปขอมั่วๆกับเค้าจนได้เล่นในที่สุด เพลงที่เล่น cover ส่วนมากจะเป็นเพลงของวง Finch , The Used , Glassjaw , Hoobastank
จนเป็นที่รู้จัก และเริ่มมีชื่อเสียงในกลุ่มดนตรีใต้ดิน
แต่เมื่อช่วงหลังไม่ค่อยมีงานใต้ดินให้เล่น แอ๊ป นักร้องของวง จึงเริ่มเขียนเพลงของตัวเองขึ้นมา ตอนแรกจะออกไปทาง Alternative ซะส่วนใหญ่ ในส่วนของ กีตาร์ – เบส – กลอง ทางวงจะทำกันเองไม่เคยมีใครมาช่วยแนะนำ อาศัยความชอบส่วนตัวและความถนัดในแนวเพลงที่แต่ละคนชอบแตกต่างกันไปจากนั้นนำไปเสนอตามค่ายเทปใหญ่ๆ มากมาย แต่ได้รับการปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "หนักเกินไปขายไม่ได้"
ตำแหน่ง – ร้องนำ
เกิด – 27/4/2527
ศึกษาอยู่ที่ - มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต คณะบริหารธุรกิจ เอกคอมพิวเตอร์ ปี 3
งานอดิเรก – ฟังเพลง , เขียนเพลง , แกล้งหมา , อำ ชาวบ้าน , โทรศัพท์โรคจิตในยามค่ำคืน
ศิลปินที่ชอบ – Michelle Branch , The Strokes , Lifehouse , project 86, blindside , ok go , bob marley
แนวดนตรีที่ชอบ – Raggae ,Rock , Metal , Emo
ตำแหน่ง – กีต้าร์
เกิด – 6/2/2527
ศึกษาอยู่ที่ - มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต คณะบริหารธุรกิจ เอกคอมพิวเตอร์ ปี 3
งานอดิเรก – เล่นเกมส์, ดูหนัง , ฟังเพลง ,ด่าคนตามเว็บบอร์ด ต่าง ๆ , download ภาพโป๊
ศิลปินที่ชอบ – CCR , The Used , The Cranberries , The Calling
แนวดนตรีที่ชอบ – Blue , Rock , Metal , Emo
ตำแหน่ง – เบส
เกิด – 14/6/2531
ศึกษาอยู่ที่ – กรุงเทพฯการบัญชีวิทยาลัย ( BBC ) ปวช.2 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
งานอดิเรก – เล่นเกมส์ ,ดูหนัง , ฟังเพลง ,นอน(เฉย ๆ ได้เป็นเวลานาน ๆ )
ศิลปินที่ชอบ – The Used , Hoobastank ,Thursday , Mudvayne
แนวดนตรีที่ชอบ - Emo , Punk , Indy
ตำแหน่ง – กลอง
เกิด – 25/4/2527
ศึกษาอยู่ที่ – มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาดรุณฯ คณะบริหารธุรกิจ เอกการตลาด ปี 3
งานอดิเรก – เล่นเกมส์ ,อ่านหนังสือ,เล่นคอมฯ,กวนตีนเพื่อนร่วมวง
ศิลปินที่ชอบ – Incubus , Blink 182 , Finch
แนวดนตรีที่ชอบ – Punk , Emo , Alternative
* ทองไม ได้ลาออกจากวงแล้ว หลังจากเสร็จอัลบั้มชุดนี้
ตำแหน่ง - กลอง (คนปัจจุบัน)
ศิลปินที่ชอบ - Blink 182 , Night Wish , Incubus
แนวดนตรีที่ชอบ - Gothic , Emo , Jazz , Sould
งานอดิเรก - ฟังเพลงเล่นดนตรี, เลี้ยงหมาพันธ์ไทยหลังอาน...พาคนส่งโรง'บาลเนื่องจากโดนหมากัด
* อ๊อฟ เป็นมือกลองคนใหม่ที่มาแทนที่ ทองไม
SEK LOSO (เสกสรรค์ สุขพิมาย)
SEK LOSO

หลังจากวง "LOSO"ประสบความสำเร็จอย่างมากในทุกอัลบั้ม นักร้องนำของวงอย่าง "เสก" ได้แยกตัวไปศึกษาต่อด้านดนตรียังต่างประเทศ และกลับมาออกอัลบั้มเดี่ยวให้แฟนๆได้ฟังกันอีกครั้ง ซึ่งยังคงความเป็นร็อคในสไตล์ "LOSO" เช่นเดิม แต่เพิ่มความหนักแน่นทางด้านดนตรีจากฝั่งตะวันตกมากยิ่งขึ้นตามประสบการณ์ของ "เสก"...และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน "เสก" และ วง"LOSO" ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆเสมอ
เสก โลโซ (เสกสรรค์ สุขพิมาย)
วันเกิด : 7 สิงหาคม 2517
ราศี : กรกฏ
แนวเพลง : Rock
สังกัด : More Music
"เสก" เสกสรร ศุขพิมาย หรือที่รู้จักกันในชื่อของ "เสก โลโซ" นับเป็นซุปเปอร์สตาร์ขาร็อคอีกคนหนึ่งของเมืองไทย เคยมีผลงานครั้งแรกในปี 2539 กับวง "โลโซ" โดยมีผลงานออกมาหลายอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น "Lo Society" "LOSO : Entertainment" "Rock&Roll" "LOSOLAND" ที่ทุกอัลบั้มจะต้องมีเพลงฮิตให้ติดหูขาร็อคทั้งหลาย เริ่มตั้งแต่ "ไม่ต้องห่วงฉัน" ในอัลบั้มแรก "Lo Society" , "คืนจันทร์" และ "ใจสั่งมา" ในอัลบั้ม "Rock&Roll" เพลง "หมาเห่าเครื่องบิน, มอ'ไซต์รับจ้าง" ในอัลบั้ม LOSOLAND ฯลฯ
ต้นปี 2546 ปรากฏการณ์ช็อควงการเพลง เมื่อเสก-โลโซ ประกาศหยุดพักวงโลโซชั่วคราว เพื่อไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษ หลังจากออกเทปและทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ มาตลอด 7 ปีเต็ม จนกระทั่งวันที่ 4 เมษายน ปีเดียวกัน อัลบั้มเดี่ยว(ส่วนตัว)ของเสก ก่อนที่จะอำลาวงการเพลง ที่ใช้ชื่ออัลบั้มว่า "7 สิงหา" ที่มาจากวันเกิดของเขานั่นเอง ที่เสกทั้งเขียนเพลง-เล่นดนตรี-โปรดิวซ์เองทั้งหมด (เหมือนเดิม) ดนตรียังคงเป็นสไตล์โลโซ แต่เน้นซาวนด์ดนตรีที่หนักขึ้น ทั้งซาวนด์กีตาร์และกลอง มีเพลง "พรุ่งนี้" ที่เสกแต่งให้กับแฟนเพลง ก่อนอำลาจากกันไปไกล และในปี 2547 เสกได้ร่วมงานกับซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของเมืองไทยอย่าง "เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์" ในอัลบั้ม "เบิร์ด-เสก" และตามมาด้วยอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 2 "THE COLLECTION" ในปี 2548
และล่าสุดในปี 2549 กับอัลบั้ม Black and White ที่เสกบอกว่า เป็นอัลบั้มที่ซีรียสที่สุด เพราะตั้งแต่อัลบั้มปกแดงเมื่อหลายปีก่อน ก็ยังไม่ได้ทำอัลบั้มเป็นอัลบั้มเต็มๆจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น 7 สิงหา , เบิร์ด-เสก , THE COLLECTION ก็ยังไม่ได้มีอัลบั้มที่จริงจังมากเหมือนชุดนี้ และด้วยความสำเร็จจากอัลบั้มชุดที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้เสกต้องทำให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น แนวดนตรียังคงเป็นร็อกที่ยังคงความเข้มข้นหนักหน่วง พ่วงกับเสียงร้องบาดใจคนทั้งประเทศ ในแบบฉบับของ “เสก”
และนี่คือ "เสก โลโซ" ซุปเปอร์สตาร์ขาร็อค ตัวจริง พบกับความจัดจ้านของสองขั้วดนตรีจากอัลบั้มใหม่ “BLACK AND WHITE” ที่กลั่นกรองทุกเม็ดดนตรีจากฝีมือของ “เสก-โลโซ” ได้แล้ววันนี้ ทั่วประเทศ